จีนดูดการลงทุนเข้าชายแดนใช้จุดขายสัมพันธ์ 'สัมพันธ์อันดีกับพม่า'

โดย สุทธิดา มะลิแก้ว นุศรา สวัสดิ์สว่าง
นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2538)



กลับสู่หน้าหลัก

จ้าว เปา เฉิง นักธุรกิจหนุ่มใหญ่วัย 45 จากปักกิ่ง ภายหลังจากที่ได้ เดินทางมาสำรวจธุรกิจตามบริเวณชายแดนแล้วหลาย ๆ เมือง และเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เขาได้เข้ามายัง หวั่นติง เมืองเล็ก ๆ ของจีน ที่ตั้งอยุ่บริเวณชายแดน จีน-พม่า และได้เปิดเผย 'ผู้จัดการ' ว่าเมื่อมาเห็นที่นี่ เขาไม่ลังเลเลยที่จะดำเนินธุรกิจของเขาที่เมืองหวั่นติงแห่งนี้

"เมืองนี้อากาศดี มีคนเผ่าไตอาศัยอยู่มาก จิตใจดี และเป็นเมืองเล็ก ๆ น่าอยู่มาก" จ้าว เกริ่น กับ 'ผู้จัดการ'

อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของการเข้ามาอยุ่เพื่อทำธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจระดับชาติอย่างเขา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัทจินไต ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านอสังหาริมทรัพย์ และมีชื่อเสียงมากทีเดียวในปักกิ่ง

" ปัจจุบันนี้ประเทศจีน ต้องการให้เมืองชายแดน มีการพัฒนามากขึ้น เราเลือกที่หวั่นติงเพราะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ชิดพม่า มีผังเมืองที่ชัดเจน ง่ายแก่การที่เราจะแต่งแต้มลงไป ถ้าลองเปรียบเทียบที่อื่นแล้วเมืองรุ่ยลี่ นั้นก็อาจจะเป็นเมืองชายแดนที่ติดพม่าเหมือนกัน แต่รุ่ยลี่นั้นใหญ่เกินไป และมีอะไรต่าง ๆ อยุ่แล้วมากมาย ไม่เหมาะแก่การเริ่มต้นใหม่ ๆ ส่วนทางด้านเหอโขว่ นั้นติดกับชายแดนเวียดนาม เราไม่ค่อยแน่ใจในทัศนคติของคนเวียดนามว่าจะต้อนรับเรามากแค่ไหน แต่หวั่นติง กับพม่านั้นมีความสัมพันธ์กันมายาวนาน" จ้าวกล่าว

แผนพัฒนาเมืองที่เขากล่าวถึงก็คือ แผนการสร้างเมืองใหม่ของหวั่นติง ซึ่งทางเมืองหวั่นติงได้เตรียมแผนส่งเสริมการลงทุนโดยการจัดพื้นที่จำนวน 23 ตารางกิโลเมตร ไว้สำหรับสร้างเมืองใหม่ โดยมีผังเมืองที่ชัดเจนว่าส่วนไหนจะเป็นอย่างไร และจัดเขตพิเศษสำหรับการลงทุนต่าง ๆ ไว้ 5 ตารางกิโลเมตร เปิดโอกาสให้นักลงทุน จากทั้งใน และต่างประเทศเข้ามาลงทุน โดยที่ทางบริษัทจินไตของจ้าวนั้น เป็นบริษัทที่ได้เข้ามารับสัมปทานในการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ ภายในเมืองและร่วมมือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเมืองหวั่นติง จัดการทางด้านส่งเสริมด้านการระดมต่าง ๆ ให้เข้ามาเพื่อที่ว่าแผนการนี้เป็นจริงได้เร็วขึ้น

การเข้ามาของจินไต ที่อาจจะเรียกได้ว่าระดับชาติ นี้ จึงเป็นเสมือนแสงเทียนที่ช่วยจุดประกายความหวังในการพัฒนาเมืองหวั่นติงให้เป็นจริง และหนทางที่จะดึงให้เมืองเล็ก ๆ อย่างหวั่นติงนั้นอยู่ในความสนใจของนักลงทุนในระดับนานาชาติได้มากทีเดียว ทั้งนี้เพราะ บริษัทจินไตนั้นเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างนักธุรกิจจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้และกวางตุ้ง ซึ่งผู้ร่วมทุนนั้นมาจากเมืองสำคัญที่จะสามารถดึงนักลงทุนในแต่ละเมืองเข้ามาและเคยประกอบธุรกิจกับตางชาติมาแล้วมากมาย และนอกจากการทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์แล้ว บริษัทจินไต ยังได้ร่วมทุนกับบริษัทต่าง ๆ จากปลายประเทศในเอเชีย อาทิ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง ในการประกอบธุรกิจนำเข้าและส่งออก ซึ่งบริษัทร่วมทุนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีธุกริจของตนเองอยู่แล้วยในหลายประเทส เหล่านี้ล้วนเป็นการดึงดูดให้มีนักลงทุนต่าง ๆ ให้หันมาให้ความสนใจหวั่นติง

และเพื่อเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของจินไต เองที่ได้ประกาศเรียกร้องความสนใจต่อนักลงทุนทั้งหลายที่ว่าจะทำให้หวั่นติง นั้นเป้นประตูสู่ทะเลใได้ได้ เพื่อว่านักลงทุนทั้งหลายเข้ามาแล้ว จะมองเห็นความก้าวหน้า และ เพื่อที่จะให้เห็นว่า การลงทุนในหวั่นติงนั้นมีอนาคต บริษัทได้ลงทุนไปแล้วประมาณ 30 ล้านหยวน หรือ90 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาพื้นที่และก่อสร้างเส้นทางสู่พม่า

" ตอนนี้เราตัดถนนจากหวั่นติง ระยะทาง 13 กิดลเมตร เชื่อมเข้ากับเส้นทาง 320 ซึ่งถนนสายนี้จะทำให้เราเข้าไปยังพม่าได้สะดวก" จ้าวกล่าว

นอกจากนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก้ผู้จะเข้ามาลงทุน ประธานบริษัทจินไต ยังพูดถึงความสัมพันธ์ที่มีกับพม่าเป็นอย่างดีว่า " ขิ่น ยุ้นต์ ได้เข้าที่หวั่นติง 2-3 ครั้ง แล้ว และยังเคยมาศึกษาถึงแผนการที่เราทำแล้วด้วย และสถานการณ์ในพม่าปัจจุบันก็เช่นเดียวกันด้วย และสถานการณ์ใหม่ในพม่าปัจจุบันก็คลี่คลายไปเยอะ เชื่อว่าในอนาคตยิ่งจะดีขึ้นไปอีก"

การเข้ามาของจินไต เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการลงทุน ในเมืองชาแดน ของจีน และหวั่นติงก็ไม่ได้เป็นเมืองเดียวที่กำลังปรับปรุง และพยายามระดมเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาให้ได้มากที่สุด เพื่อการพัฒนาประเทศจีน

ในอดีตนั้นเมืองเล็ก ๆ ตามแนวชายแดนนั้นมีความสำคัญเพียงทำการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน หรือเป็นเพียงทางผ่านสู่ประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น หรือเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการเมือง แต่อาจไม่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจสักเท่าไหร่

แนวคิดเรื่องการะดมการลงทุนจากต่างชาติเกิดขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญแก่เมืองชายเแดน เนื่องจากสามารถทำรายได้เข้าสู่ประเทศได้มาก ได้แก่ หวั่นติง และรุ่ยลี ( ชายแดนพม่า) และเหอโขว่ ( ชายแดนเวียดนาม) เป็นเขตการค้าชายแดน และในปี 1992 รัฐบาลได้อนุมัติให้เมืองทั้ง 3 เป็นเมืองเปิดทางด้านการค้า และเป็นจุดผ่านแดนระดับชาติ national level port ( ปัจจุบันจุดผ่านแดนระดับชาติในยูนานมี 9 แห่ง)

การประกาศเป็นจุดผ่านแดนระดับชาติแทนที่จะเป็นเพียงเมืองการค้าชายแดนเพียงอย่างเดียวนั้น ทำให้เมืองต่าง ๆ ได้เร่งหาจ้อได้เปรียบของตนออกมาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดการลงทุนเข้ามาให้ได้มากที่สุดเท่ที่จะเป็นไปได้ และได้เกิดความตื่นตัวมากขึ้น มีการแกฉวยเอาการที่เป็นจุดผ่านแดนระดับชาติ รวมทั้งนำเอาการรัฐบาลจันเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีน ได้มาเป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูดความสนใจนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาในเขตของตนเอง

การเปิดเมืองชายแดนต่าง ๆ ขึ้นมานี้ อาจเรียกได้ว่า เป็นกลยุทธ์ของการระดมการลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในเมืองต่าง ๆ ของจีน และถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาด้านการลงทุน ทั้งนี้ภายหลังจากทีรัฐบาลจีนเริ่มนำระบบเศรษฐกิจการตลาดเข้ามาผสมผสานกับระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ในปี 2522 และได้เปิดประเทศสู่โลกภายนอก ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจขอประเทศกระเตื้องขึ้นมาก การตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและเขตพิเศษตามแนวชายฝั่ง สามารถดำเนินการไปได้ด้วยดีดังนั้น รัฐบาลจึงได้ประกาศเขตส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติมตามเมืองตาง ๆ เพิ่มขึ้น

กลยุทธ์การส่งเสริมการลงทุนของจีนนี้ สำหรับเมืองที่อยู่ห่างไกลจากส่วนกลางแล้ว จะให้ทุกส่วนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโดยตรงทั้งหมด นั้นเห็นจะเป็นไปได้ยาก ส่วนกลางนั้น คงได้แต่ให้นโยบาย ส่วนการดำเนินการหรือภาคปฏิบัตินั้นจึงขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละเมือง ดังนั้นเมืองตาง ๆ จึงพยายามหาจุดขายของตน เพื่อเรียกร้องให้มีการลงทุนเข้ามาในเขตของตนให้มากที่สุด ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างความเจริญ และนำรายได้เข้าสู่ท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นการพิสูจน์ให้รัฐบาลกลางได้เห็นว่า เป็นเมืองที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการมีอำนาจต่อรองอื่น ๆ ต่อไปในอนาคตอีกด้วย

เมืองหวั่นติง เมืองที่อยู่ภายในเขตการปรกครองเต๋อหง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคุนหมิง อันเมืองหลวงของมณฑลยูนาน 868 กิดลเมตร ที่ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ มีพื้นที่พียง 103 ตารางกิโลเมตร แต่โดยที่มีชายแดนติดกับพม่า จึงได้ใช้ความแตกต่างจากเมืองอื่นอันนี้ เป็นข้อได้เปรียบในการดึงดูดการลงทุน

" เมืองหวั่นติงของเรานี้ มีชายแดนทั้งสิ้น 28.6 กิโลเมตร แต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างชายแดนไม่เกิน 5 กิโลเมตร อยู่ห่างจากเมือง ลาโชของพม่า เพียง 188 กิโลเมตรเท่านั้น และห่างจากเมืองมัณทะเลย์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของพม่าเพียง 584 กิโลเมตร นับว่าเป็นจุดทีสะดวกมากสำหรับการใช้ที่นี่เป็นฐานการผลิต เพื่อการส่งออก" นายหม่า อี้จง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเทศสัมพันธฺ์ ประจำเมืองหวั่นติง กล่าวกับ " ผู้จัดการ" เป็นการเกริ่นให้ฟังถึงลักษณะทั่วไปของมืองหวั่นเติง

นอกจากนั้น หวั่นติงยังได้อาศัยความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของตนที่เคยเป็นจุดผ่านของเส้นทางสายไหมของตะวันตกเฉียงใต้ และการมีเส้นทางสายพม่า ( Burma Road) ผ่าน แสดงถึงความสามารถในการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่าได้อย่างง่ายดาย มาเป็นจุดที่ทำให้หวั่นติงสามารถดึงดูดการลงทุนในเขตนี้ได้มาก

นายกเทศมนตรีหนุ่มแห่งเมืองหวั่นติง ยังได้กล่าวถึงสิ่งที่ทำให้หวั่นติงน่าสนใจอีกว่า เมืองหวั่นติงนั้นมีชื่อเสียงทางด้านเป็นเมืองที่มีการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านมาช้านาน

"เรื่องความมีชื่อเสียงนี้ หวั่นติงนั้น มีชื่อเสียงมากว่า หมางซื่อ ที่เป็นเมืองหลวงของเต๋อหงเสียอีก ทั้งนี้ เพราะมีถนนสายเตียน-เมี่ยน ( Burma Road)ที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีตตั้งแต่ปี 1948 ( 2491) มีสินค้าผ่านเข้า-ออกมากมาย นอกจากนั้น ยังมีสะพานที่เชื่อมต่อกันกับประเทศทีโจว เอิน ไหล ( อดีตนายกรัฐมนตรีจีน) และ อู บา ฉ่วย ( อดีตนายกรัฐมนตรีพม่า) เคยมาข้ามแล้ว"

นอกจากนั้น ด้วยขนาดของเมืองที่เล็กนี่เอง ที่จะทำให้การจัดการต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ในขณะที่ความเป็นเมืองชายแดนติดพม่าที่ใกล้ชิดมาก จนชาวหวั่นติง และชาวจิวกู่ ( เกียวกก) ของพม่าสามารถมองเห็นกันได้จากฝั่งของตนเอง และลักษณะของการค้าขายซึ่งเป็นการค้าชายแดนมายาวนาน ซึ่งสามารถนำไปสู่การขยายเส้นทางการค้าได้รวดเร็วขึ้น

จินไตก็เล้งเห็นถึงจุดที่หวั่นติงได้เปรียบเพราะการที่ติดกับพม่า และสามารถหาทางออกสู่ทะเลได้อย่างไม่ไกลและไม่ลำบากนัก จึงได้พยายามนำข้อได้เปรียบดังกล่าวมาเสนอต่อต่างชาติ รวมทั้งอาศัยจุดขายที่จีนมีความสัมพันธ์อันดีต่อพม่า เพื่อให้ต่างชาติมั่นใจได้ว่าการลงทุนจะไม่สูญเปล่า

ขณะที่หวั่นติงมีแผนการสร้างเมืองใหม่ รุ่ยลี ซึ่งเป็นเมืองชายแดนอีกเมืองหนึ่งก็เตรียมการเพื่อจะเป็น 'เวินเจิ้นแห่งจีนใต้' เพร้อมชักชวนพม่าให้ตั้งเขตการค้าปลอดภาษีร่วมกัน และยังมีเมืองอื่น ๆ อีกหลายเมืองที่อยู่ตามชายแดนของมณฑลยูนนานที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็ได้ตั้งเขตเพื่อ ส่งเสริมการลงทุนภายใต้ชื่อ 'เขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ' (Econmic cooperation Zone)

รุ่ยลี ได้เตรียมแผนการ เพื่อการดึงดูดการลงทุน โดยการตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจขึ้น 3 เขต ได้แก่เขตพิเศษเจียก้าว เขตร่วมมือเศรษฐกิจชายแดนรุ่ยลี่ และเขตขนถ่ายสินค้าหนงก้าว และยังได้พัฒนาความได้เปรียบบนพื้นฐาน ที่อาศัยความสัมพันธ์อันดีกับพม่า คือได้ริเริ่มที่จะร่วมกันจัดตั้งเขตปลอดภาษีร่วมกับพม่า เขตการค้าปลอดภาษีดังกล่าวจะตั้งอยู่บนเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจเจียก้าว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองรุ่ยลี 4 กิโลเมตร และอยู่ติดกับเมืองมูเซของพม่า โดยพื้นที่ในเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจเจียก้าวมีเนื้อที่ 6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการส่งเสริมการลงทุน และในบริเวณเดียวกันนี้บนพื้นที่ 1.9 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีพื้นที่ติดกับดินแพนของพม่าจะตั้งเป็นเขตการค้าปลอดภาษี

"ในขณะที่มณฑลของเรามีนโยบายความร่วมมือกับต่างประเทศเรื่องสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ทางเมืองลุ่ยลี่เองเราก็มีนโยบายเช่นกัน เป็นการร่วมมือกับพม่าโดยเราจะตั้งเป็นเขตการค้าเสรีหรือเขตปลอดภาษีขึ้น เราได้คุยกับทางพม่าแล้ว เขาก็เห็นพ้องว่าจะทำเช่นเดียวกับในฝั่งเขาด้วย ดังนั้นในบริเวณนี้ก็กลาย เป็นเขตปลอดภาษีทั้งสองฝั่งซึ่งหากโครงการสำเร็จผมคิดว่า รุ่ยลี่ ก็คลจะกลายเป็นเซินเจิ้นแห่งที่ 2 ของจีนขึ้นมาก็ได้ และเราก็หวังว่าจะให้แล้วเสร็จภายในทศวรรษนี้" เหยียน ปัน ผู้อำนวยการสำนักวานการค้าชายแดน ประจำเมืองรุ่ยลี่ มณฑลยูนนาน เปิดเผย ' ผู้จัดการ'

และเมือเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย เอดีบี ได้แสดงความเห็นชอบแล้วที่จะให้เงินช่วยเหลือ 20,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อทำกรศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการเขตการค้าปลอดภาษีดังกล่าว

จนถึงปัจจุบันทางจีนและพม่าได้ร่วมมือกันสร้างถนนในบริเวณพื้นที่ของทั้งสองประเทศชื่อ ถนนจีน-พม่า หรือ จงเหมี่ยน เจี่ย และจะสร้างศูนย์แสดงสินค้า และร้านค้าปลอดภาษีตามแนวถนนสายนี้ทั้งสองฝั่ง

รุ่ยลี่ เป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขตการปกครองของตนเอง ชนชนติไตและจิ่งโพเต๋อหง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลยูนาน เป้เมืองที่มีชายแดนติดต่อกับพม่า เช่นเดียวกันกับหวั่นติง แต่รุ่ยลี่ นั้นเป็นเมืองที่ใหญ่กว่ามาก กล่าวคือ มีพื้นที่ถึง 960 ตารางกิโลเมตร โดยมีความยาวของเส้นชายแดนถึง 140 กิโลเมตร และเป็นเมืองทีมีปริมาณการค้าชายแดนมากถึง 2 ใน 3 ของปริมาณการค้าชายแดนของมณฑล

ผู้อำนวยการค้าชายแดนยังกล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการว่า สำหรับการลงทุน ในเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจนี้มีพื้นที่ประมาณ80% ได้ถุกจับจองเพื่อการลงทุนประเภทต่าง เรียบร้อยแล้ว

"ตอนนี้เราได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่และได้เริ่มสร้างอาคาร้านค้าตาง ๆ ไปบ้างแล้ว เพื่อรองรับสินค้า ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนของพม่าเองก็ได้เริ่มทำไปบ้างแล้วเช่น เดียวกัน" นายเหยียน ปัน กล่าว

แม้ว่าหวั่นติง และลุ่ยลี่ นั้น ต่างก็เป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจตเดียวกัน และยังมีชายแดนที่ติดต่อกับพม่าเหมือนกัน แต่ทั้งสองเมืองก็พยายามแข่งขันกันที่จะหาจุดขายต่าง ๆ ที่เป็นการดึงดุดทุนเข้าสู่เมืองของตนดองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และจุดหนึ่งที่สองเมืองจะต้องนำมานำเสนอและขาดไม่ได้ก็คือ ความสัมพันธ์กับพม่าความใกล้ชิดกับพม่าทีเมืองอื่นไม่มี

ทางชายแดนด้านอื่น คือ ทางเวียดนามเมืองเหอโขว่ นั้น ก็พยายามที่จะหาจุดขายที่เป็นหนทางออกสู่ทะเลที่ใกล้และสะดวกที่สุด กล่าวคือ ที่นั่นมีรถไฟสามารถเดินทางไปถึงท่าเรือไฮฟอง ของเวียดนาม โดยระยะทาางจากเหอโข่วถึงเมือง ไฮฟองเพียง 389 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังไม่เปิดใช้

และที่เหอโข่ว เองก็มีเจตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเขตส่งเสริมการลงทุนเช่นเดียวกันกับที่อื่น ๆ ที่เป็นเมืองชายแดน แต่ก็ไม่อาจสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ ทั้งนั้นเพราะนักลงทุนไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างจีนกับเวียดนาม นั้นจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด แม้ว่ารัฐบาลทั้ง 2 ประเทศพยายามที่จะลืมความขมขื่นในอดีตกันอยู่ และหันมาสานสัมพันธ์กันใหม่แต่อาจจะต้องใช้เวลาอีกนานในการเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนของทั้งสองประเทศ

ส่วนชายแดนด้านลาว อาจจะไม่มีปัญหาความสัมพันธ์มากนัก แต่ลาวนั้นเป็นประเทศเล็ก และไม่มีทางออกสู่ทะเล ถึงแม้ปัจจุบันจะมีโครงการขอความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับอนุภูมิภาค 6 ประเทศ ที่จะให้มีการสร้างเส้นทางรถไฟคุนหมิง-หนองคาย โดยผ่านลาว แต่นั่นก็เพิ่งจะเริ่มมีการสำรวจ และยังต้องใช้เวลาอีกนาน เกี่ยวกับเรื่อง เขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ( Economic Cooperatin Zone) นั้น แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจไทยในเมืองคุนหมิงเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่ายังมีความแตกต่างกันอยู่ระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษกับเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าไม่ศึกษาอย่างละเอียดแล้ว ก้อาจจะเกิดปัญหาในภายหลังได้

"คือแต่ละเมืองนั้นพยายามดึงสิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษออกมา ใช้เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ หรือเครื่องจักร ที่นำมาใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกและสิทธิในการใช้ที่ดินที่มีระยะเวลานานที่สุดก็๕ือ 70 ปี แต่คราวนี้พวกระเบียบการลงทุนต่าง ๆ นั้นยังไม่เหมือนกันเสียทีเดียว จริง ๆ แล้วเขตร่วมมือทางเศรษฐกิจนั้นเป็นเขตส่งเสริมการลงทุนระดับมณฑลไม่ใช่ระดับชาติ ซึ่งการลงทุนในระดับมณฑลนั้นหากการลงทุนไม่เกิน 30 ล้านเหรียญ สหรัฐ ผู้ว่าราชการมณฑลมีสิทธิที่จะอนุมัติได้เลย แต่ถ้ามากว่านี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการลงทุนในเขตส่งเสริมการลงทุน หรือเขตร่วมมือทางเศรษฐกิจก็ตามยังคงต้องส่งเรื่องให้รัฐบาบกลางพิจารณาอยู่ดี รวมทั้งต้องพิจารณาเรื่องสิทธิพิเศษต่าง ๆ ด้วย ซึ่งทำแบบ case by case อาจเสียเวลาไปได้บ้างเหมือนกัน" แหล่งข่าวกล่าว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.