|
ยูนิฟเล็งบูมกลุ่มอาหารแทนชาเขียวซบ หยั่งเชิงบะหมี่ชามตั้ง 2 ปีมาเต็มรูปแบบ
ผู้จัดการรายวัน(8 มิถุนายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดชาเขียวก้าวสู่ขาลงปีนี้มูลค่าหด 800 ล้านบาท เหลือเพียง 3.7พันล้านบาท “ยูนิฟ” เตรียมบ่ายหน้ารบสมรภูมิบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 หมื่นล้านบาท นำเข้าบะหมี่ยูนิฟบรรจุภัณฑ์โบลว์หยั่งเชิงตลาดก่อน อีก 2 ปีพร้อมลงตลาดอาหารเต็มรูปแบบ ชี้หากกระตุกหนวดเสือ”มาม่า-ไวไว-ยำยำ”ปักเสาเข็มผลิตในไทย ล่าสุดทุ่มงบตลาด 300 ล้านบาท บูมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ส่วนชาเขียวเล็งปั้นลงเซกเมนต์ใหม่กู้แชร์ฟื้นจาก 15% เป็น 30% สิ้นปีนี้ ขณะที่รายได้รวมกวาด 1.4 พันล้านบาท
นายทีเซิน หยาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิ-เพรสซิเดนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชาเขียวพร้อมดื่มยูนิฟ และน้ำผักผลไม้ เปิดเผยว่า ภายในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทได้เตรียมนำเข้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา”ยูนิฟ”หนึ่งในสินค้ากลุ่มอาหารจากประเทศไต้หวันเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย นำร่อง ก่อนที่อีก 2 ปีข้างหน้านี้บริษัทจะรุกตลาดอาหารอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับการโดดลงตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท บริษัทได้เลือกบรรจุภัณฑ์โบลว์หรือชามเข้ามาทดลองตลาดก่อน ซึ่งมีแผนจะจำหน่ายผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อ ทั้งนี้หากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยูนิฟได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี บริษัทจะผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นที่ประเทศไทย
การที่บริษัทหันมารุกธุรกิจกลุ่มอาหารมากขึ้น ก็เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงสร้างรายได้หลัก 30%ของบริษัทมาจากธุรกิจชาเขียวพร้อมดื่มภายใต้ตรายูนิฟ ซึ่งสภาพตลาดชาเขียวพร้อมดื่มในไทยอยู่ในช่วงขาลง ตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2548 โดยคาดว่าปีนี้มูลค่าตลาดชาเขียวลดลงเหลือเป็น 3,700 ล้านบาท จากเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมามีมูลค่า 4,500 ล้านบาท ในขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดของยูนิฟก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากในปี 2548 มีส่วนแบ่ง 25% ล่าสุดส่วนแบ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาลดลงเหลือเป็น 15% ทั้งนี้เพราะขาดการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเน้นปรับระบบการผลิตใหม่อะเซพติค โคล ฟิลลิ่ง
นโยบายการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ยูนิฟปีนี้ บริษัททุ่มงบ 300 ล้านบาทในการทำตลาด โดยแบ่งการให้ความสำคัญเป็น 3 ลำดับ ประกอบด้วย ลำดับแรก โฟกัสกลุ่มชาเขียว-น้ำผักและผลไม้ สำหรับในกลุ่มชาเขียวในสิ้นปีนี้บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 30% ด้วยการชูระบบอะเซพติค เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ ให้คงคุณค่า รักษากลิ่นและรสชาติแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งบริษัทได้ใช้งบลงทุน 1.3 พันล้านบาท พร้อมทั้งการออกรสชาติใหม่ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งจัดกิจกรรมการตลาดในเชิงรุกมากขึ้น ส่วนกลุ่มน้ำผัก-ผลไม้ เพื่อตอกย้ำบัลลังก์ผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันยูนิฟครองส่วนแบ่งถึง 34% จากมูลค่า 1,700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 80 % จากมูลค่าตลาดรวม 2,200 ล้านบาท ดังนั้นจึงได้เตรียมเปิดตัวรสชาติใหม่ๆ
นายทีเซิน หยาง กล่าวว่า ส่วนกลุ่มธุรกิจลำดับสอง ต่อไป คือ น้ำผลไม้ และสปอร์ตดริ้งก์ ซึ่งในกลุ่มน้ำผลไม้ยูนิฟเป็นผู้นำตลาดอันดับสองมีส่วนแบ่ง 18% จากมูลค่าตลาดน้ำผลไม้ระดับบน 440 ล้านบาท ส่วนสปอร์ตดริงก์ ภายใต้แบรนด์ยูนิฟ ไอเฟิร์ม เป็นอันดับสี่ของตลาด มีส่วนแบ่งตลาด 5% สิ้นปีเพิ่มเป็น 6-7% จากมูลค่าตลาดในปีที่ผ่านมา 220 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่ามูลค่าตลาดสปอร์ตดริงก์จะเพิ่มเป็น 300 ล้านบาท ส่วนธุรกิจลำดับสาม คือ การรุกตลาดชาพร้อมดื่มในเซกเมนต์ใหม่ นอกจากเหนือจากชาเขียว ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวบาร์เลย์แบล็คทีหรือชาดำผสมข้าวบาร์เลย์ เนื่องจากแนวโน้มตลาดชาดำและอื่นๆ อาทิ ชาอูล่ง ชานม ขยายตัวสูง โดยคาดว่าปีนี้สัดส่วนตลาดจะเพิ่มจาก 5% เป็นกว่า 20% ในขณะที่ตลาดชาเขียวสัดส่วนจะลดลงจาก 95% เหลือเป็น 80%
สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้า 1.4 พันล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น ยูนิฟ กรีน ที 30% ยูนิฟน้ำผักและผลไม้ 40% กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้พลังงาน ยูนิฟ-ไอเฟิร์ม 10% กลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟ A-Ha 10% และผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 10% ซึ่งปีนี้บริษัทได้เตรียมเปิดตัวนอกเหนือจากกลุ่มชาเขียวพร้อมดื่ม 2-3 รายการ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น อย่างไรก็ตามหลังจากที่บริษัทได้ปรับระบบการผลิตเป็นอะเซพติค มีกำลังการผลิต 6 แสนหีบต่อเดือน ส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิต 5% เมื่อเทียบกับระบบฮอต ฟิล มีกำลังการผลิต 2 แสนหีบต่อเดือน โดยในอนาคตบริษัทได้เตรียมลงทุนเพิ่มไลน์ผลิตอะเซพติค อีก 2 ไลน์ และเครื่องฮอต ฟิล อีก 1 ไลน์
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|