ททท.ส้มหล่นได้เงินสองเด้ง ระดมเอกชนกระตุ้นท่องเที่ยว


ผู้จัดการรายวัน(1 มิถุนายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

"ประชา" โยกเรื่องหันของบกลางปีงบประมาณ 2549 วงเงิน 900 ล้านบาท กระตุ้นท่องเที่ยว เล็งเสนอ ครม. สัปดาห์หน้า หลัง"สมคิด" พยักหน้า เร่งเบิกเงินเก่าให้ ททท.ใช้หนี้ 650 ล้านบาท ด้าน ททท.เปิดใจ เงินใหม่ช่วยต่อลมหายใจ หลัง 3 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ใช้เงินหมดกระเป๋าแล้ว ส่วนการหารือภาคเอกชน ขอความร่วมมือกระตุ้นตลาดคนไทยท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น เตรียมสรุปในสัปดาห์หน้า

นายประชา มาลีนนท์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เปิดเผยภายหลังการร่วมประชุมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย , บริษัททัวร์ ,โรงแรม และสายการบิน เพื่อหารือร่วมกันถึงแนวทางกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ไตรมาสที่ 3-4 ปี 2549 ว่า ในสัปดาห์หน้า จะนำแผนการทำงานและแผนการตลาดเพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวแบบเร่งด่วน ที่ ททท. ได้จัดทำขึ้น พร้อมของบประมาณเพื่อใช้ดำเนินงานรวม 900 ล้านบาท เสนอที่ประชุม ครม. โดยการของบครั้งนี้จะขอเบิกจ่ายจากงบกลางประจำปีงบประมาณ 2549

โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการประชุมร่วมกับ ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อรับฟังแผนฯ และงบที่จะใช้ดำเนินงาน ซึ่งครั้งนั้น ททท.ของบจำนวน 900 ล้านบาท จาก วงเงิน 1,500 ล้านบาท ที่ ครม.มีมติอนุมัติแล้วเมื่อปี 2548 แต่ยังเบิกจ่ายไม่ได้ ซึ่งส่งผลให้ ททท. มีหนี้ 650 ล้านบาท ที่ยังคงค้างชำระ จากการร่วมกับพันธมิตร ในต่างประเทศ ร่วมกันจัดแคมเปญโปรโมชั่น ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย ดังนั้น นายสมคิด จึงลงความเห็นและรับปากว่า จะให้สำนักงบประมาณ นำงบประมาณปี 2548 ที่ มีการส่งกลับคืนมายังกระทรวงการคลัง เบิกออกมาให้ ททท. ใช้หนี้ จำนวนนี้ให้หมด ส่วน เงิน 900 ล้านบาท ให้ ตั้งเป็นของบกลางปี งบประมาณ 2549 โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เป็น 14.5 ล้านคน ดึงรายได้เข้าประเทศ ไม่น้อยกว่า 507,000 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิม ปีนี้ที่ ททท. ตั้งไว้ คือ 13.8 ล้านคน รายได้ 450,000 ล้านบาท

ส่วนการหารือกับภาคเอกชน และ สายการบิน เบื้องต้น ได้ แจ้งนโยบาย และแผนการดำเนินงานเพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยว ในประเทศ โดยต้องการให้ภาคเอกชน ไปจัดสินค้าที่มีอยู่แล้ว เช่น โรงแรม และ สายการบิน ตลอดจนบริการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ ว่าสามารถให้ราคาได้เท่าใด และ มีสินค้าจำนวนมากแค่ไหน เพื่อจะได้นำมารวมกันจัดแคมเปญโปรโมชั่น หรือ เสนอขายแพกเกจในราคาที่จูงใจ โดยจะมีการนัดประชุมเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้งในสัปดาห์หน้า คาดว่า จะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน จะสามารถออกเป็นแคมเปญกระตุ้นท่องเที่ยวได้ ซึ่งจะยังทันให้นักท่องเที่ยวไปใช้บริการในช่วงโลว์ซีซั่นปีนี้

อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูง ตามที่ภาคเอกชนได้เสนอแนะ ถึงการจัดทำแพกเกจพิเศษ สำหรับกลุ่มอินเซนทีฟ และ กรุ๊ปประชุมสัมมนา เสนอให้แก่ องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ให้เดินทางท่องเที่ยว ในช่วงโลวซีซั่นปีนี้ โดยเป็นการร่วมมือกันหลายฝ่าย ในลักษณะคล้ายกับ แพกเกจช่วยอันดามัน ในปีก่อน ที่ประสบความสำเร็จมาก แต่ครั้งนี้ เราจะขอความร่วมมือ ให้กระจายการเดินทางออกไปในทุกภูมิภาค

ททท.หวังเงินใหม่ต่อลมหายใจ

ทางด้านนางจุฑามาศ ศิริวรรณ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เงิน 650 ล้านบาท ที่ ททท. เป็นหนี้ นั้น เกิดจากการเซ็น MOU กับพันธมิตรเอกชน ด้านการท่องเที่ยว ในต่างประเทศ ในข้อตกลงร่วมกันจัดแคมเปญโปรโมชั่นร่วมกัน โดยแชร์ค่าใช้จ่ายร่วมกัน ซึ่งมีประเทศ ญี่ปุ่น และ จีน เป็นต้น

“ตอนนี้ยอมรับว่า งบส่งเสริมการตลาดปีงบประมาณ 2549 จำนวน 2,000 ล้านบาท สำหรับตลาดในประเทศและต่างประเทศ ททท.ได้ใช้ไปหมดแล้วใน 3 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ โดยส่วนใหญ่หมดไปกับการจัดอีเว้นต์ต่างๆ ส่วนเงินที่เหลืออยู่ขณะนี้เป็นงบค่าใช้จ่ายประจำ ดังนั้น หาก ครม. อนุมัติงบ 900 ล้านบาทมาให้ครั้งนี้ ก็จะทำให้ ททท. ดำเนินงานต่อไปได้ “

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตลาดที่น่าเป็นห่วง คือ ตลาดคนไทยเที่ยวในประเทศ เพราะ จากปัญหาเศรษฐกิจ และ ภาวะราคาน้ำมันแพง ได้ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนกับตลาดคนไทย ซึ่งจากผลสำรวจของสมาคมวิจัยตลาดแห่งประเทศไทย ระบุว่า คนไทย จะตัดกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูงออกไปก่อน เช่นการชอปปิ้ง ทานอาหาร สังสรรค์นอกบ้าน และ การเดินทางท่องเที่ยว ขณะที่การอยู่ในภาวะรัฐบาลรักษาการ ทำให้ หน่วยงานภาครัฐ ชะลอเรื่องการจัดประชุมสัมมนา ส่งผลกระทบต่อตลาดไมซ์โดยตรง

ดังนั้น สิ่งที่ ททท. จะดำเนินการ คือ ใช้กิจกรรมที่จะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง มากระตุ้นให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยว โดยให้เห็นว่า เป็นการท่องเที่ยวแบบมีเหตุผล โดยกิจกรรมจะจัดให้ใหญ่ขึ้น และมีความแรงมากขึ้น เพื่อให้มีความน่าสนใจ อีกทั้ง ยังเป็นจุดเชิญชวนต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นด้วย เช่น เทศการหัวหิน แจ๊ซ เฟสติวัล, ไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ 2006 , เทศการ แห่เทียนเข้าพรรษา, สิงหาพาแม่เที่ยว ,เทศกาลออกพรรษา บั้งไฟพญานาค, งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ ,สัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว ,เทศกาลลอยกระทง เทศกาลโคมไฟนานาชาติ และ มหกรรมแจ๊ซนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น

เอกชนแนะรัฐจัดระเบียบงานแฟร์

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ในที่ประชุมว่า ภาคเอกชน มีความเห็นที่หลากหลาย โดยนายโอภาส เนตรอำไพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย กล่าวในที่ประชุมว่า ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา ทางการเมืองให้มีความชัดเจนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เพราะส่งผลกระทบต่อการลงทุนด้านท่องเที่ยว ขณะที่ นักท่องเที่ยวชาวไทยก็มีความกังวล และ ชะลอการเดินทาง ส่วนภาคราชการก็งดการจัดประชุมสัมมนา

“การกระตุ้นท่องเที่ยวต้องใช้เวลา 3-6 เดือน กว่าจะเห็นผล ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องมีการวางแผนการเจาะกลุ่มตลาดให้ดี เช่น ช่วงโรงเรียนปิดเทอม หรือ หากเป็นส่วนราชการ ก็ต้องมีการประสานไปยังหน่วยงานต้นสังกัดให้มีการสนับสนุน ให้พนักงานท่องเที่ยว และ การจัดสัมมนานอกสถานที่ เน้นเดินทางข้ามจังหวัด หรือข้ามภูมิภาค ตรงนี้ จึงเกิดการหมุนเวียนการเดินทางท่องเที่ยวอย่างแท้จริง”

อย่างไรก็ตามภาครัฐต้องเร่งหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อรองรับการเติบโต ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันประเทศไทยมีคู่แข่งรอบด้าน อย่างล่าสุด มาเลเซีย เตรียมก่อสร้าง ดิสนีย์แลนด์ และจะผลักดันให้เป็นดิสนีย์แลนด์ที่มีขนาดใหญ่ และดีที่สุดในภูมิภาคเอเชีย จะเห็นได้ว่าทุกประเทศต่างให้ความสำคัญและปั้นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้กับนักท่องเที่ยว

ทางด้านนายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) กล่าวว่า ททท.ควรจัดระเบียบการจัดงานแฟร์ ให้มีจำนวนที่พอสมควร ประมาณปีละ 3-4 ครั้ง ไม่ใช่จัดกัน 2-3 สัปดาห์/ครั้งอย่างทุกวันนี้ ซึ่งทำให้พฤติกรรมคนไทย ไม่สนใจหรือตื่นเต้นกับการลดราคาเท่าที่ควร ขณะเดียวกันก็จะรอซื้อแต่ของลดราคาเท่านั้น นอกจากนั้น ยังเสนอให้รัฐพิจารณาลดหย่อนภาษีเงินได้ เมื่อคนไทยเดินทางเที่ยว พร้อมเข้าพักและใช้จ่าย 5,000-10,000 บาท เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในตลาดคนไทยได้อีกมาก ซึ่งข้อเสนอนี้ นายประชา มาลีนนท์ กล่าวว่า อาจเป็นไปได้ยาก เพราะจะมีหลักฐานแน่นอนได้อย่างไรว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการท่องเที่ยว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.