แม้ว่าแจ็คจะใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตการทำงานทุ่มเทให้กับสหวิริยาโอเอ เพื่อผลักดันให้บริษัทแห่งนี้เติบโตเป็นบริษัทค้าคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของไทย
ที่มีเป้าหมายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ในย่านเอเชียแปซิฟิก
แต่ในอีกด้านหนึ่ง "แจ็ค มิน ชุน ฮู" ก็เป็นเหมือนชาวจีนทั้งหลายที่เมื่อสั่งสมประสบการณ์และเงินทุน
ปะเหมาะกับโอกาสที่เข้ามาจะไม่รีรอที่จะเปลี่ยนฐานะจากมืออาชีพไปเป็น "เถ้าแก่"
ที่มีกิจการเป็นของตัวเอง แทนที่จจะเป็นแค่มือปืนรับจ้าง หรือ หลงจู๊ที่บริหารกิจการให้คนอื่น
แม้แจ็คจะเป็นผู้ถือหุ้นในสหวิริยาโอเอ แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าของเพียงลำพัง
ยังมีวิทย์ วิริยประไพกิจ และคุณหญิงประภา วิริยประไพกิจ ที่พนักงานส่วนใหญ่จะเรียกว่า
"คุณนาย" ถือหุ้นร่วมด้วย
และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อโอกาสมาถึงแจ็ค มิน ชุน ฮู จะไม่คว้าโอกาสเหล่านั้น
จุดเริ่มความเป็นเถ้าแก่ของแจ็คเกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งอาจเป็นเรื่องของความบังเอิญอันเป็นผลพวงมาจากธุรกิจของสหวิรยา
เมื่อหลายปีก่อน เมื่อสหวิริยาเริ่มผลิตการ์ดภาษาไทย ซึ่งกรรมวิธีในการผลิตจะตอ้งใช้เครื่องมือที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
คือ ใช้น้ำกรดในการกัดแผ่นวงจร จึงลงความเห็นกันว่า เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาต่อสุขภาพของพนักงานสหวิริยาควรจะจ้างให้คนอื่นทำ
แจ็ค เห็นว่า แทนที่จะเอารายได้ส่วนนี้ไปให้คนอื่น เขาน่าจะเป็นผู้รับทำเอง
ด้วยเหตุนี้บริษัทแพน แปซิฟิก จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยทุนส่วนตัวของแจ็ค รับทำธุรกิจรับทำการ์ดภาษาไทยป้อนให้กับสหวิริยา
ซึ่งแจ็คมอบหมายให้ภรรยา และญาติฝ่ายภรรยาของแจ็คเป็นผู้ดูแลอาณาจักรเล็กๆ
แห่งนี้ของเขา
เช่นเดยวกับการกำเนิดเกิดเออาร์ ก็มีสาเหตุไม่แตกต่างไปจากแพนแปซิฟิกเท่าใดนัก
เมื่อแจ็คเคยต้องซื้อข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในกิจการของสหวิริยาด้วยราคาแพงลิบลิ่ว
แจ็คจึงเกิดแนวคิด แทนที่จะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากควรผลิตข้อมูลขึ้นมาเอง
แต่เนื่องจากสหวิริยา โอเอ กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการสร้างฐานธุรกิจของการเป้นตัวแทนค้าฮาร์ดแวร์
และซอฟต์แวร์ ธุรกจิ เรื่องขอ้มูลในเวลานั้นยังเป็นเรื่องใหม่ และยังห่างไกลกับธุรกิจคอมพิวเตอร์
แจ็คจึงเห็นว่า เมื่อสหวิริยาไม่ได้ทำแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดที่เขาจะเป็นผู้ลงมือทำธุรกิจนี้ขึ้นมาเอง
บริษัทแอ็ดวานซ์ รีเสิร์ช หรือเออาร์ จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อทำวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับข้อมูลทางด้านคอมพิวเตอร์
ข้อมูลเหล่านี้นอกจากจะป้อนให้กับสหวิริยา โอเอแล้ว ในปัจจุบันเออาร์ยังมีลูกค้ารายใหญ่
คือ ไอดีซี ที่มีบริษัทแม่อยู่ในสหรัฐอเมริกาก็มาจ้างให้เออาร์เป็นผู้วิจัยและสำรวจเกี่ยวกับธุรกิจคอมพิวเตอร์ในไทย
ต่อมาเออาร์ขยายเข้าสู่ธุรกิจสิ่งพิมพ์ด้วยการผลิตนิตยสารเพื่อป้อนให้กับวงการคอมพิวเตอร์
เริ่มต้นด้วยบิสซิเนส คอมพิวเตอร์ แมกาซีน หรือบีซีเอ็ม ซึ่งมีคู่แข่งสำคัญที่เป็นนิตยสารแนวเดียวกัน
ก็คือ กลุ่มแมนกรุ๊ป การแข่งขันของทั้งอสงกลุ่มนี้รวมไปถึงการดึงตัวพนักงาน
ที่แมนกรุ๊ปมักจะเป็นฝ่ายสูญเสียบุคลากรให้กับเออาร์มาตลอด จนกระทั่งต้องปะทะกันบนหน้านิตยสารของแต่ละฝ่าย
หากพูดถึงความสำเร็จในด้านธุรกิจสิ่งพิมพ์แล้ว อาจยังเป็นเรื่องยากเพียงแค่ประคับประคองธุรกิจไปได้เรื่อย
ๆ แต่ดูเหมือนสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญของแจ็ค เพราะนิตยสารที่เออาร์ผลิตขึ้นก็เพื่อสนับสนุนธุรกิจของสหวิรยา
โอเอเป็นหลัก ขณะเดียวกันหน้าโฆษณานิตยสารของกลุ่มเออาร์จะมีสหวิริยาเป็นลูกค้ารายใหญ่อุดหนุนมาโดยตลอด
ที่สำคัญการที่แจ็คคลุกคลีอยู่กับธุรกิจนี้มาตลอด ย่อมรู้ว่า อิทธิพลของ
"สื่อ" และการมีข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อธุรกิจในระยะยาว
เพราะเมื่อเทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงยุคของอินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยีแล้ว "ข้อมูล"
จะเข้ามามีบทบาทไม่ใช่ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์อย่างที่เป็นมาในอดีต
วันเวลาของการรอคอยก็มาถึง เมื่อกระแส "อินเตอร์เน็ต" อภิมหาเครือข่ายเข้ามามีบทบาทในไทย
ผสมผสานกับการตื่นตัวของยุค "ข้อมูล" เริ่มต้นขึ้น
ในอีกทางหนึ่ง แจ็คลงมือสร้าง "ขา" ใหม่ให้กับเออาร์ ด้วยการจัดตั้งเป็นบริษัทเอนิวส์
คอร์ปอเรชั่นขึ้นมา เพื่อรองรับกับธุรกิจค้าข้อมูลทางคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ
การสร้าง "เอนิวส์" เท่ากับเป็นการตอกเสาเข็มในธุรกิจค้าข้อมูลของแจ็คอย่างจริงจัง
ซึ่งแจ็คได้ชักชวนพันธมิตรดั้งเดิม คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และหนังสือพิมพ์คู่แข่งธุรกิจมาร่วมมือหุ้นรวมกันในสัดส่วน
50% ที่เหลืออีก 50% ถือโดยกลุ่มเออาร์
ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน แจ็ค กล่าวว่า ในเมื่อเออาร์ทำธุรกิจข้อมูลอยู่แล้ว
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเข้าไปในธุรกิจนี้ แทนที่จะเป็นสหวิริยา โอเอ ซึ่งหากไปเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเท่ากับไปสร้างศัตรูแทนที่จะขายของได้
"แทนที่เราจะสร้างศัตรู สหวิริยา โอเอ ยังมีโอกาสขายของ ขายระบบให้กับไอเอสพีรายอื่นๆ
ได้ หากสหวิริยาไปให้บริการเองเท่ากับลูกค้าเหล่านี้จะกลายเป็นศัตรูทันที"
แจ็คชี้แจง
การดำเนินงานของกลุ่มเอนิวส์ จะทำหน้าที่เป็นทั้งโฮลดิ้งคอมปานี และมีฝ่ายการขายและตลาดและพัฒนาสนค้า
ทำหน้าที่ในการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับกลุ่ม
ปัจจุบัน เอนิวส์แตกหน่อขยายบริษัทลูกออกมา 3 แห่ง คือ เอเน็ตทำธุรกิจเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
หรืออินเตอร์เน็ต เซอร์วิส โพรไวเดอร์ (ไอเอสพี) ซึ่งได้รับสัมปทานมาจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย
(กสท.) มีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงต้นเดือนตุลาคมเป็นรายที่ 6 ของไอเอสพีที่เปิดให้บริการอย่างจริงจัง
แม้ว่าแจ็คจะอาศัยสายสัมพันธ์ในอดีต สร้างลูกค้าให้กับเอเน็ตแล้วหลายราย
เช่น กลุ่มสหวิริยาโอเอ รวมถึงการร่วมมือกับเอเซอร์ขายพีซีแถมสมาชิกอินเตอร์เน็ตฟรี
แต่ไม่ได้หมายความว่า เอเน็ตจะมีข้อได้เปรียบไปจากคู่แข่งรายอื่น
แม้กระแสการตื่นตัวของอินเตอร์เน็ตจะดูรุนแรง แต่เอาเข้าจริงสมาชิกอินเตอร์เน็ตยังจำกัดอยู่ในลูกค้าไม่กี่กลุ่ม
ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษา หรือนักวิชาการ กลายเป็นเรื่องหนักอกของบรรดาไอเอสพีไม่น้อย
เพราะจะหวังเพียงรายได้จากค่าสมาชิกไม่ได้ต้องหันไปทำธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
เช่น รับทำโฮมเพจ หรือรับทำโฆษณาสินค้าบนเว็บ
ด้วยเหตุนี้ แจ็คจึงพยายามสร้างข้อได้เปรียบให้กับเอเน็ตตามสไตล์ที่ถนัด
ด้วยการบุกขยายไปต่างจังหวัดให้มากที่สุด โดยไปร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นจัดตั้งบริษัทแห่งใหม่ขึ้นมาในแต่ละจังหวัด
ซึ่งวิธีนี้เอเน็ตจะได้ทั้งเงินทุนและความเชี่ยวชาญจากพันธมิตรในการทำธุรกิจ
บริษัทร่วมทุน จะทำหน้าที่เป็นฮับ (HUB) หรือเป็นสาขาของเอเน็ต เพื่อให้สมาชิกอินเตอร์เน็ตในต่างจังหวัด
สามารถใช้บริการในอัตราเดียวกับในกรุงเทพฯ ไม่ต้องเสียค่าทางไกลเหมือนกับในอดีต
พล.ร.ต.ประสาท ศรีผดุง รองประธานเอนิวส์ อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักนโยบายและแผนกลาโหม
กล่าวว่า บริษัทร่วมทุนสองแห่งแรกของเอเน็ต คือ อินเตอร์เน็ตนครราชสีมา ซึ่งเอเน็ตร่วมลงทุนกับมหาวิทยาลัยสุรนารี
และลงทุนร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในการทำตลาดในหาดใหญ่
ธุรกิจสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ บิสซิเนส ออนไลน์ (บีโอแอล) ซึ่งได้รับสัมปทานในการทำธุรกิจขายข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนจากกระทรวงพาณิชย์มีอายุสัมปทาน
20 ปี
ว่ากันว่า ชัยชนะในการประมูลของแจ็คในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากสายสัมพันธ์ของผู้บริหารในสหวิริยา
ซึ่งเคยทำงานอยู่ในกระทรวงพาณิชย์ผู้ที่สนิทสนมเป็นอันดีกับแจ็ค
การคว้าสัมปทานชิ้นนี้ ยิ่งเป็นการจุดพลุให้กับธุรกิจออนไลน์ข้อมูลของแจ็คอย่างแท้จิรง
เพราะในวันเซ็นสัญญาแจ็คไปนั่งเซ็นสัญญาและเปิดแถลงข่าวด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ
ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่พึงปรารถนาจะให้ใครรู้ว่าเขาคือเจ้าของเออาร์ และมักจะเลี่ยงที่จะกล่าวถึง
พล.ร.ต.ประสาท กล่าวว่า หลังจากเซ็นสัญญาก็มีผู้ติดต่อมาเป็นลูกค้าแล้วหลายราย
โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีทั้งจากไทยและต่างประเทศ
รูปแบบการให้บริการของบีโอแอล จะมีอยู่หลายลักษณะเนื้อหาและวิธีการนำเสนอ
ซึ่งจะมีทั้งที่อยู่ในรูปของกระดาษ ตลอดจนการออนไลน์ผ่านคอมพิวเตอร์
"ในอีกไม่ช้านี้ เราจะมีบริการรูปแบบใหม่ทยอยออกสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริการข้อมูลพยากรณ์อากาศ
หรืออิเล็คทรอนิกส์ช้อปปิ้ง ซึ่งคุณแจ็ควางแนวทางเอาไว้ว่าเราจะไปทางไหน
แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะมีอะไรบ้าง เพราะข้อมูลเป็นของใหม่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะคิดค้น
หรือนำรูปแบบใดมาเสนอ ธุรกิจนี้ยังมีอีกมาก" พล.ร.ต.ประสาท กล่าว
ในช่วงหลัง ๆ จึงมีผู้เห็นแจ็คแวะเวียนไปที่เออาร์มากขึ้ นแทนที่จะไปเฉพาะช่วงเย็นของ
1 วันในแต่ละสัปดาห์ หรือเแพาะในช่วงวันหยุด รวมทั้งจะมีพนักงานบางส่วนของสหวิริยาจะย้ายไปนั่งทำงานในเออาร์
และเอนิวส์ไปรับตำแหน่งใหม่ที่ใหญ่ขึ้นในเออาร์ หรือเอนิวส์
"ในเอนิวส์ผมก็ให้นโยบายคนเอาไว้ ส่วนเวลาที่จะมาบริหารก็ขึ้นอยู่กับว่า
สหวิริยาโอเอ หรือเอนิวส์ อันไหนจะมีความจำเป็นหรือเร่งด่วนกว่ากัน"
แจ็คเล่า
ไม่แน่ว่า อาณาจักรข้อมูลแห่งนี้อาจจะกลายเป็นขาหนึ่งของสหวิริยาโอเอ หรือจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญไปก็ยังไม่อาจรู้ได้
!