เจาะตลาดทุกเซกเมนต์“แสนสิริ”ปรับแผนลงทุน


ผู้จัดการรายสัปดาห์(29 พฤษภาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

“แสนสิริ”เปิดยุทธศาสตร์สร้างยอดขายทะลุ 10,000 ล้าน ลุยทำบ้านเจาะทุกตลาด ส่งไม้ต่อให้บริษัทลูก “พร้อมพัฒนาฯ” ทำบ้านแฝด-บ้านเดี่ยว สนองลูกค้าตลาดล่าง ส่วนพลัสฯยังเน้นคอนโดในเมือง เผยมีแผนออกคอนโตราคาแพงกลางเมือง และโรงแรมหรูที่ภูเก็ตพร้อมเผยโฉมปีหน้า

จากประสบการณ์บริหารอสังหาริมทรัพย์มาทุกรูปแบบ การลุยทำโครงการเพื่อตลาดบนและกลางมาอย่างโชกโชน ประกอบกับดีมานด์บ้านเดี่ยวและคอนโดระดับ hi-end และระดับกลางที่เคยเฟื่องฟูเมื่อช่วง 1-2 ปีที่แล้วเริ่มลดลงในปีนี้ เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูง ทำให้แสนสิริจำเป็นต้องกลับมาทบทวนแนวทางในการลงทุนอีกครั้ง เห็นได้จากตลาดคอนโดที่แข่งขันกันอย่างร้อนแรงในขนาดนี้

ก่อนหน้านี้แสนสิริได้ส่งหน้าที่ให้บริษัทลูก คือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ ที่วางตัวเป็นผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทั้งโบรกเกอร์ พัฒนาโครงการ บริหารอาคาร ลงลุยตลาดคอนโดระดับกลางเพิ่ม โดยใช้ชื่อ “คอนโดวัน” เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับกลางที่มีไลฟ์สไตล์แบบคนรุ่นใหม่ และต้องการคอนโดย่านใจกลางเมือง 6 โครงการ เช่น สาทร ลาดพร้าว สุขุมวิท สยาม ทองหล่อ เน้นเกาะแนวรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน ในราคาเริ่มต้น 1 ล้านบาทเศษ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ส่ง “คอนโดพลัส” ออกมาทำตลาด โดยมีขนาดพื้นที่ห้องที่มากกว่าคอนโดวัน และโครงการทาวน์เฮาส์ “พลัส ซิตี้พาร์ค” ในทำเลใจกลางเมืองเช่นกัน

ตอนนี้น่าถึงเวลาแล้วที่แสนสิริต้องปรับตัวอีกครั้ง เพื่อให้สามารถทำสินค้าออกขายได้ทุกเซกเมนท์ โดยตั้ง บริษัท พร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นบริษัทลูก เพื่อลุยตลาดล่างอย่างเต็มตัว และเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์แสนสิริ โดยมี วิโรจน์ กัปปิยจรรยา ลูกหม้อของแสนสิริ นั่งแท่นบริหารในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ เน้นทำโครงการแนวราบในทำเลชานเมือง โดยเร็วๆนี้จะเปิดตัวโครงการ “บ้านพร้อมพัฒน์” บ้านแฝดราคาเริ่มต้น 1.75 ล้านบาท ย่านรามอินทรา เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่อครัวเรือน 30,000 บาทขึ้นไป และมียอดผ่อนชำระกับธนาคารต่อเดือน 10,000 บาท

เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ลูกค้าของบ้านพร้อมพัฒน์เป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยทำการตลาดมาก่อน และมองเห็นว่าในอนาคตปีหน้าตลาดนี้มีอัตราเติบโตถึง 10-15% หรือคิดเป็นมูลค่า 1,300-1,400 ล้านบาท ในส่วนของที่ดินบริเวณดังกล่าวก็ไม่สามารถทำบ้านเดี่ยวราคาแพงอย่างที่แสนสิริเคยทำมาตลอดได้ รวมทั้งหากจะทำเป็นทาวน์เฮาส์ก็ไม่สามารถจะแข่งกับเจ้าตลาด คือ เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ได้อีก ดังนั้นจึงต้องฉีกรูปแบบมาเป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยเล็กลง แต่ยังคงมาตรฐานในการก่อสร้างแบบเดียวกับแสนสิริเอาไว้

สำหรับโครงการบ้านพร้อมพัฒน์ในอนาคตจะขยายรูปแบบเป็นบ้านเดี่ยวเพิ่มเติม และภายในปีนี้จะทำบ้านพร้อมพัฒน์ออกมาอีก 2 โครงการ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดทำเลที่ตั้ง แต่ไม่เจาะโซนทิศเหนือ เช่น รังสิต เนื่องจากมีคู่แข่งในพื้นที่นั้นอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก สำหรับผลตอบรับของลูกค้าที่มีต่อโครงการที่รามอินทราก็เป็นที่น่าพอใจ ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง

สำหรับทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ 7 เดือน หลังจากนี้เศรษฐามองว่าจะเป็นการแข่งขันที่รุนแรง ผู้ประกอบการต้องทำการบ้านหนักขึ้น และต้องเฝ้าดูตลาดอย่างตั้งใจ รวมทั้งนโยบายภาครัฐ ซึ่งขณะนี้สะดุดนิ่งเนื่องจากภาวะรัฐบาลรักษาการ เป็นผลให้เกิดความไม่แน่นอน และชะลอการลงทุนออกไป มีผลกำลังซื้อไม่เกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ไม่ส่งผลดีต่อฝ่ายใด เมื่อมองในแง่ลูกค้าจะทำให้ลูกค้าให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการที่จะซื้อรวมทั้งคุณภาพการก่อสร้างว่าคุ้มค่ากับราคาหรือไม่ในยุคที่เศรษฐกิจถูกสะดุดด้วยราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ย

อนาคตหลังจากนี้แสนสิริคาดว่ากำลังซื้อจะไม่สะดุดด้วยภาวะเศรษฐกิจ แต่กลับจะเป็นปัจจัยที่เร่งให้ลูกค้ารีบตัดสินใจก่อนที่แนวโน้มดอกเบี้ยจะสูงขึ้นมากกว่านี้ และมั่นใจว่าความต้องการซื้อคอนโดราคาแพงจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการจะออกคอนโดเพื่อเจาะตลาดบนในราคา 100,000 บาท ต่อตารางเมตรย่านใจกลางเมืองพื้นที่ 1- 2 ไร่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ซื้อที่ดิน คาดว่าน่าจะได้เห็นโครงการนี้ออกมาในช่วงก่อนสิ้นปี และโครงการพัฒนาที่ดินเป็นโรงแรมที่หาดกะตะน้อย ภูเก็ต จำนวน 37 ไร่ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างออกแบบ มีกำหนดเปิดตัวในต้นปีหน้า

ส่วนโครงการคอนโดอื่นๆ บริษัทมีแผนที่จะเปิดในปีนี้จำนวน 20 โครงการมูลค่า 10,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายจากโครงการรวมในปี 2549 ได้ตามเป้าหมาย 14,000 ล้านบาทได้ ส่วนในปี 2550 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากบ้านในตลาดล่างขึ้นมาเป็น 10% ของโครงการที่ลงทุน มูลค่า 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 2-3% มีมูลค่า 200-300 ล้านบาทเท่านั้น

ด้านผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2549 เป็นที่น่าพอใจ สามารถเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ โดยมีรายได้ของกลุ่มบริษัทรวมกว่า 2,400 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 134 ล้านบาท มาจากการเน้นรุกตลาดที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร โดยในปีนี้สามารถสร้างยอดขายได้ 1,250 ยูนิต หรือกว่า 5,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งของยอดขายมาจากการจัดงาน “Living in Style 2006” เพื่อนำเสนอที่อยู่อาศัยของแสนสิริและกลุ่มบริษัทในเครือแก่ลูกค้าที่สนใจ โดยภายในงานสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 1,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ในปีนี้ไว้ คือ บ้านเดี่ยว 60% และคอนโด 40% และจะมียอดขายรวมจากทั้ง 3 บริษัท ทะลุ 10,000 ล้านบาท ภายในปีหน้า

ทั้งนี้ปัจจัยความสำเร็จดังกล่าวน่าจะมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์แสนสิริ ทั้งในเรื่องคุณภาพ สไตล์การออกแบบ และทำเลอันเป็นหัวใจสำคัญของการเลือกซื้อบ้าน โดยที่ผ่านมาบ้านเดี่ยวของแสนสิริชูทำเล อาทิ พัฒนาการ สุขุมวิท สนามบินน้ำ วงแหวน-สุขาภิบาล 3 ซึ่งใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนเป็นจุดขาย แบ่งแยกบ้านเดี่ยวเป็น 3 ระดับราคาผ่าน 3 แบรนด์ย่อย จากราคาต่ำไปสูง คือ สราญสิริ เศรษฐสิริ และนาราสิริ เรียกได้ว่าเน้นการกระจายความเสี่ยงด้วยการทำโครงการขนาดเล็ก หลากหลายทำเล สามารถปิดยอดขายได้รวดเร็ว

และล่าสุดเปิดโครงการ “เศรษฐสิริ ประชาชื่น” อย่างยิ่งใหญ่ ใช้งบสื่อสารการตลาดกว่า 30 ล้านบาท มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของแสนสิริ ชูทะเลสาบธรรมชาติกลางโครงการเป็นจุดขาย สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายด้วยการใช้ Emotional Appeal ผ่านแคมเปญโฆษณาชุด “คู่รัก” ที่ตัวเศรษฐา ผู้บริหารแสนสิริบอกเองว่า “บ้านเป็นมากกว่ากล่องๆ หนึ่ง เป็นที่ที่คนต้องใช้ชีวิต ต้องมีความผูกพันกับที่นั้นๆ” ซึ่งขณะนี้ยอดขายของโครงการอยู่ที่ 300 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.