"แม้ว่าคอมแพคจะเป็นผู้ครองตลาดอยู่ แต่ในครึ่งปีหลังเอเซอร์จะขึ้นเป็นผู้นำในตลาดให้ได้"
คำกล่าวที่เป็นเสมือนคำมั่นสัญญาของ แฮรี่ หยาง กรรมการผู้จัดการ เอสวี-เอเซอร์
คนล่าสุดที่มารับภารกิจแทน ลี กิม ฮวด ที่ครบวาระไปตั้งแต่เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา
เอเซอร์จัดเป็นพีซีที่ได้รับความสำเร็จยี่ห้อหนึ่งในตลาดโลก โดยเฉพาะในแถบเอเชียที่เอเซอร์มียอดขายเป็นอันดับ
2 ตามติดคอมแพคไม่ทิ้งห่างเท่าใดนัก
มีการประเมินกันว่า ผลสำเร็จของเอเซอร์คือภาพลักษณ์ และช่องทางจัดจำหน่ายที่เอเซอร์จะใช้วิธีผูกสัมพันธ์อยู่กับพันธมิตรท้องถิ่นเพียงรายเดียว
จึงทำให้การพัฒนาธุรกิจต่อเนื่อง ต่างจากค่ายสหรัฐอเมริกาที่มักจะแต่งตั้งตัวแทนขายจำนวนมากและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การบุกตลาดของเอเซอร์ในไทยก็เช่นกัน เอเซอร์ผูกมิตรอยู่กับสหวิริยาโอเอ
พันธมิตรเก่าแก่มานานปี จนเมื่อ 3 ปีที่แล้วจึงได้ร่วมลงขันกันก่อตั้งเป็นบริษัท
เอสวี-เอเซอร์ขึ้นมาเพื่อทำตลาดเครื่องพีซีเอเซอร์ในไทย รวมทั้งขยายตลาดในอินโดจึน
ปัจจุบันเอเซอร์ได้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 3 ของพีซีแบรนด์เนมที่ครองตลาดในไทย
โดยมีคอมแพค และไอบีเอ็ม ครอบครองตำแหน่งที่ 1 และ 2 ซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนเอเซอร์เคยก้าวขึ้นครองอันดับ
1 ของตลาด แต่หลังจากนั้นเอเซอร์ต้องถูกถอนออกจากตำแหน่งจนกลายเป็นอันดับ
3 มาเกือบ 2 ปีมาแล้ว
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้จัดการของเอสวี-เอเซอร์จะเป็นเรื่อปกติของผู้บริหารที่อยู่จนครบวาระแล้วต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันแต่ครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องธรรมดา
แหล่งข่าวในสหวิริยากล่าวว่าผู้บริหารสหวิริยาบินไปทาบทามแฮรี่ หยางให้เข้ามารับตำแหน่งนี้ในไทย
เนื่องจากการแข่งขันของพีซีนั้นรุนแรงมาก เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว
และราคาที่ลดต่ำลง ผู้ประกอบการรายใดบริหารเรื่องต้นทุนคลังสินค้า หรือปรับตัวได้ไม่ทันกับสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคงต้องประสบปัญหาแน่
ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายต่อไปของเอเซอร์ คือ การบุกขยายตลาดคอนซูเมอร์ ซึ่งกำลังมีบทบาทอย่างมาก
ดังจะเห็นได้จากการเติบโตของตลาดโฮมยูสในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องมีผุ้บริหารที่มีประสบการณ์
และมองการขยายตลาดทางด้านนี้ได้อย่างชัดเจน เนื่องจากตลาดทั้งสองส่วนนี้มีความแตกต่างกัน
การเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้จัดการเอสวี-เอเซอร์ จึงเป็นแผนการรับมืออย่างหนึ่งของสหวิริยา
เพราะด้วยประสบการณ์ และสไตล์การบริหารในเชิงรุกของแฮรี่ เหมาะสมอย่างยิ่งกับสภาวะตลาดพีซีคอมพิวเตอร์ของเมืองไทยในเวลานี้
"เดิมตลาดของเอเซอร์จะเป็นกลุ่มลูกค้าประเภทองค์กรธุรกิจ ซึ่งมร.ลี
กิม ฮวด มีความเหมาะสมและทำได้ดี แต่เป้าหมายของเราต่อจากนี้ คือ การขยายตลาดคอนซูเมอร์
จึงต้องอาศัยมุมมองตลาด และสไตล์การบริหารที่แตกต่างไป ซึ่งมร.แฮรี่ หยางนั้นจะเหมาะสมมากกว่า"
ผู้บริหารของสหวิริยาสะท้อนแนวคิด
แฮรี่ หยางนั้น ร่วมงานกับเอเซอร์มาเป็นเวลาหลายปี ตำแหน่งล่าสุดก่อนบินมารับตำแหน่งในเอสวี-เอเซอร์
คือ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทเอเซอร์ออสเตรเลีย ซึ่งเขาเคยสร้างผลงานด้วยการผลักดันให้เอเซอร์ขึ้นเป็นอันดับ
1 ในตลาดธุรกิจค้าปลีก ( รีเทล บิสซิเนส ) ในเวลาเพียงปีเดียว
นโยบายที่แฮรี่เลือกใช้ในการขยายตลาดของเอเซอร์เริ่มต้นด้วยการเพิ่มตัวแทนขาย
และแบ่งช่องทางจัดจำหน่ายออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ประกอบไปด้วย คอมเมอร์เชียล
จะเน้นลูกค้าประเภทองค์กรธุรกิจ สินค้าหลักของกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยเครื่องเดสก์ทอป
เซิร์ฟเวอร์ และเวิร์คสเตชั่น โดยจะมีตัวแทนประเภทวาร์ ซึ่งจะขายเครื่องพร้อมกับโซลูชั่น
ตลาดส่วนที่สอง คือ คอนซูเมอร์โปรดักส์ จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป
บ้านพักอาศัย สินค้าหลักจะประกอบไปด้วยเครื่องพีซี เอเซอร์ รุ่นแอสไปร์ เป็นสินค้าหลักในกลุ่มนี้
ซึ่งจะเน้นช่องทางประเภท โฮลเซลเลอร์จำนวน 3 แห่ง และจะวางขายซูปเปอร์สโตร์ของสหวิริยาโอเอ
ที่กำลังจะเปิดในปลายปีนี้
ตลาดที่สาม คือ คอมโพเนนซ์ หรือ จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบเครื่องพีซี
อาทิ มาร์เตอร์บอร์ด, คีย์บอร์ด ซีดี-รอม จะมุ่งไปที่กลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบพีซีภายในประเทศ
ซึ่งแฮรี่มองว่าลูกค้ากลุ่มนี้เริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้น
จะเห็นได้ว่า เอเซอร์ได้เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเมตัวแทนจำหน่าย แทนที่จะยังรักษาจำนวนเท่าเดิม
เพราะการขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ทำให้เอเซอร์จำเป็นต้องหาแขนขามากขึ้น
แฮรี่กล่าวว่าจากนโยบายดังกล่าวจะส่งผลทำให้เอเซอร์สามารถมุ่งไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งจะส่งผลให้เอเซอร์สามารถขยายไปยังตลาดใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น
ในมุมมองของแฮรี่ เขาเชื่อว่า ความรวดเร็วในการออกสินค้าด้วยราคาที่ต่ำ
และบริการที่กว้างขวางและรวดเร็วจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้เอเซอร์สามารถแข่งขันในตลาดพีซีคอมพิวเตอร์
รวมทั้งการขยายไปสู่ตลาดคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์
ด้วยเหตุนี้เองหลังจากวางตลาดเอเซอร์แอสไปร์ ซึ่งถือเป็นการบุกตลาดคอนซูเมอร์อย่างเต็มตัว
เอเซอร์จึงมีกำหนดวางตลาดคอมพิวเตอร์รุ่นเอเซอร์เบสิกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ในไทย
ซึ่งจะเป็นประเทศที่สองหลังจากเปิดตัวในไต้หวันไปแล้ว
การวางตลาดเอเซอร์เบสิก นับเป็นความพยายามในการขยายส่วนแบ่งตลาดในส่วนของคอนซูเมอร์อย่างจริงจัง
เนื่องจากเอเซอร์เบสิกได้ถูกออกแบบมาเพื่อเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ต้องการเครื่องราคาแพง
ซึ่งจะวางจำหน่ายในราคา 14,900 บาท (ราคานี้เฉพาะซีพียู และคีย์บอร์ด ไม่รวมจอมอนิเตอร์
)
เอเซอร์เบสิก สามารถใช้เป็นทั้งเน็ตเวิร์ค คอมพิวติ้ง (เอ็นซี) หรือ ใช้แบบเดี่ยว
ๆ (สแตน อโลน) สามารถใช้ร่วมกับทีวีได้ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักของเอเซอร์จะมุ่งไปที่กลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ต,
สถาบันการศึกษา, และกลุ่มองค์กรที่ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์แลน
อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เอเซอร์ได้เตรียมวางตลาดพีซีรุ่นใหม่ เพื่อมาชนกับพีซีประเภทเลียนแบบ
(โคลน) ที่ประกอบในประเทศที่กำลังมาแรง ครองตลาดลูกค้าประเภทโฮมยูสอยู่ในเวลานี้
จะเห็นได้ว่า เอเซอร์ใช้กลยุทธ์ในการวางสินค้า เพื่ออุดช่องว่างในตลาดดดยเฉพาะในตลาดคอนซูเมอร์ที่ผู้ผลิตพีซีท้องถิ่นครอบครองตลาดส่วนใหญ่
พร้อม ๆ ไปกับการใช้วิธีให้คู่แข่งกลายมาเป็นคู่ค้าด้วยการขายชิ้นส่วนให้กับผู้ผลิตพีซีท้องถิ่นไปในตัว
และด้วยแนวคิดที่ว่า ตลาดคอนซูเมอร์โปรดักส์ จะผูกติดและทำงานร่วมกับพีซีอย่างแยกไม่ออก
ในไม่ช้านี้เอเซอร์มีกำหนดวางตลาดโทรศัพท์มือถือระบบจีเอสเอ็ม เครื่องเล่นซีดี
และทีวี หรือพีซีสำหรับเด็กภายใต้ยี่ห้อเอเซอร์อันเป็นส่วนหนึ่งของการแตกขยายไปสู่คอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มตัว
"อีก 5 - 10 ปีข้างหน้า ตลาดคอนซูเมอร์จะเติบโตเป็น 2 เท่าของตลาดคอมเมอร์เชียล
ดังนั้นสิ่งที่เราจะมุ่งต่อไปก็คือตลาดทางด้านนี้" แฮรี่ หยาง
แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงของเอสวี-เอเซอร์ในครั้งนี้ จึงมีความหมายอย่างมากต่อทั้งสหวิริยา
และเอเซอร์ ซึ่งเวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สิ่งที่เอเซอร์เดินมานั้นถูกทางหรือไม่