|
ดัชนีตลาดหุ้นครึ่งปีหลังผันผวนหลากปัจจัยเสี่ยงเริ่มชัดเจน-ย้ำไตรมาส 3 จุดต่ำสุด
ผู้จัดการรายวัน(25 พฤษภาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
โบรกเกอร์ประเมินตลาดหุ้นครึ่งปีหลังผันผวน โดยมีจุดต่ำสุดช่วงไตรมาส 3 เหตุปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้ง ภาวะเศรษฐกิจ อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมัน และดอกเบี้ย จะเริ่มส่งผลชัดเจนมากขึ้น คาดการณ์ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 780-800 จุด ขณะที่เม็ดเงินต่างชาติอาจจะทยอยกลับเข้ามาในภูมิภาค แต่ไม่รุนแรงเท่าช่วงต้นปี พร้อมแนะลงทุนหุ้นมาร์เกตแคปใหญ่ ทั้งพลังงาน ธนาคาร และสื่อสาร
"ผู้จัดการรายวัน" ได้สำรวจความเห็นของฝ่ายวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เกี่ยวกับภาวะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ช่วงครึ่งหลังปี 2549 ในประเด็นหลักๆ คือ ทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น และบริษัทจดทะเบียนกลุ่มใดที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีและยังเป็นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง
ตลาดหุ้นครึ่งปีหลังผันผวน
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังยังมีความผันผวน คาดว่าจะเคลื่อนไหวคล้ายครึ่งปีแรกที่ดัชนีขึ้นไปสูงถึง 780 จุด และปรับตัวลดลงมาประมาณ 720 จุด
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยของบล. นครหลวงไทย ประเมินว่า ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของไทยจะชัดเจนมากขึ้น จากตัวเลขทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาไม่ดีในช่วงก่อนหน้านี้ รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน ราคาภาวะน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่จะอยู่ในระดับสูง จะเป็นปัจจัยที่กดดันดัชนีตลาดหุ้นต่อไป
ด้านปัจจัยบวกที่จะเข้ามาคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หากเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง และทำให้มีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งไทยอีกครั้ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ดัชนีตลาดสูงขึ้น
สำหรับหุ้นที่แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในครึ่งปีหลัง จะเป็นหุ้นบริษัทที่มีมูลค่าสินทรัพย์สูงและแนวโน้มธุรกิจที่ดีแข่งกับต่างประเทศด้วย เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ทำธุรกิจคอนโดมิเนียม สำนักงานให้เช่า กลุ่มธุรกิจโรงแรม กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มอาหารและเกษตร
"เรายังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป้าหมายดัชนี คือ คงไว้ที่ระดับ 780 จุด โดยมีสัดส่วนราคาต่อทุน(P/E) ประมาณ 10 เท่า"
ไตรมาส 3 ดัชนีถึงจุดต่ำสุด
นายกิตติ เหมนิลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ AYS กล่าวว่า ไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่แย่ที่สุดของดัชนีตลาดหุ้นไทย เนื่องจากพื้นฐานและภาพลักษณ์ของทั้งเศรษฐกิจไทยและบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ดีในช่วงก่อนหน้านี้ จากภาวะน้ำมัน เงินเฟ้อ และการเมือง ซึ่งจะส่งผลชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 3 นี้ โดยเฉพาะการเติบโตของบริษัทที่จะลดลง และผลิตภัณฑ์มวลรวมที่ปรับลดเหลือ 4-5% เท่านั้น
"อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตลาดทุนที่มีผลตอบแทนแค่ 4.3%ไปลงทุนในตลาดเงิน ซึ่งมีผลตอบแทนสูงซึ่งสูงกว่า 5%"
อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในไตรมาสที่ 4/49 หากภาวะน้ำมัน ดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมถึงรัฐบาลใหม่ที่จะมาจาการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้สถานการณ์การเมืองแน่นอนมากขึ้น บวกกับค่าเงินหยวนที่ค่อยๆ ขยับขึ้นจะเป็นปัจจัยที่ดึงค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทด้วยและเป็นผลให้เม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้าประเทศอีกรอบ
"ในแง่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนและเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ถือว่าไม่ดีสำหรับการลงทุน และกดดันให้ดัชนีต่ำลง และตอนนี้เองก็ยังไม่มองเห็นปัจจัยใหม่ๆ ที่จะเข้ามาสนับสนุนให้ตลาดหุ้นดีขึ้น นอกจากเม็ดเงินจากต่างชาติที่อาจจะไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง"
สำหรับหุ้นที่แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในครึ่งปีหลัง เป็นหุ้นที่มีความปลอดภัย หรือหุ้นขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร และคงเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไว้ที่ระดับ 682-784จุด
หวังทุนนอกไหลกลับใน 2-3 สัปดาห์
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด (มหาชน) หรือ GBX กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นในครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยไตรมาส 4/49 และต่อเนื่องถึงต้นปีหน้าจะดีขึ้นมาก หลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่จะกลับเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและผลักดันโครงการระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ซึ่งอาจจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นอาจจะปรับขึ้นไปรอตั้งแต่ไตรมาส 3 นี้
ทั้งนี้ คาดว่าในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศน่าจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้น และจะทยอยซื้อเรื่อยๆ จนถึงไตรมาสที่ 4 เนื่องจากค่าเงินเอเชียที่มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้น จากการที่สหรัฐฯ ต้องการลดขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ใกล้จะสิ้นสุด ขณะที่ภูมิภาคเอเชียเพิ่งจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
"ตลาดหุ้นและค่าเงินของภูมิภาคเอเชียตกลงมาค่อนข้างมาก หลังจากนักลงทุนต่างชาติเทขายทำเก็งกำไรออกมาในช่วงนี้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีราคาถูกและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดอื่นๆ ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่ต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนเพิ่ม โดยหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาวในครึ่งปีหลัง คือ หุ้นพื้นฐานดีที่ราคาปรับลดลงก่อนหน้านี้ เช่น กลุ่มธนาคาร พลังงาน รับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง"
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษการเคลื่อนย้ายเงินทุนของกองทุนต่างชาติ และลงทุนในหุ้นที่มีข่าวดี เช่น หุ้นกลุ่มเหล็ก ที่ได้รับข่าวดีจากการที่สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการปกป้องการทุ่มตลาดในตลาดเหล็ก โดยเป้าหมายดัชนีของตลาดหุ้นในปีนี้คงไว้ที่ระดับ 860 จุดเช่นเดิม
ตั้งเป้าดัชนีตลาดหุ้น 710-830 จุด
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธการลงทุน บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาส 3 และ 4 ดัชนีตลาดหุ้นจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากเม็ดเงินต่างชาติจะไหลกลับเข้าไทยอีกครั้ง แต่จะทยอยเข้าและไม่รุนแรงเท่าต้นปี
ส่วนเม็ดเงินต่างประเทศที่ไหลออกในระยะ 6-7 วันที่ผ่านมา ถือว่าไม่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะกว่า 4 เดือนก่อนหน้า นักลงทุนต่างชาติซื้อถึง 1.2 แสนล้านบาท และเพิ่งจะขายออกมาแค่ 2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นถือเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะเข้าทยอยซื้อหุ้น
"ดัชนีที่ตกในช่วงนี้เป็นปัจจัยจากภายนอกที่นักลงทุนต่างชาติขายเก็งกำไรออก ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานภายใน ดังนั้นเชื่อว่าเม็ดเงินจะค่อยๆ ไหลกลับเข้ามาอีกครั้งในครึ่งปีหลังนี้" นายแสงธรรม กล่าว
ทั้งนี้ เศรษฐกิจของไทยที่จะสามารถเติบโตได้ตามที่คาดไว้หลังปรับลงมาที่ 4-5% โดยภาคการส่งออกจะขยายตัวเป็นหลัก แม้จะขาดดุลการค้ามาก แต่สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ขณะที่ความล่าช้าของการเลือกตั้งที่ต้องเลื่อนไปถึงช่วงไตรมาสที่ 4/49 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่มาก แม้ไม่มีรัฐบาลดูแลหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะภาคการใช้จ่ายของรัฐเป็นแค่ 17-18%ของผลิตภัณฑ์มวลรวม เท่านั้น
สำหรับภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จะไม่กระทบต่อดัชนีตลาด เพราะโครงสร้างส่วนใหญ่ของดัชนีตลาดเป็นกลุ่มพลังงานซึ่งจะพยุงดัชนีได้ และบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ ก็จะสามารถผลักภาระให้ผู้บริโภคได้ และรักษาการเติบโตที่ 4-5%
"ภาวะอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อและราคาน้ำมันปัจจัยลบเหล่านี้ ได้กระทบต่อตลาดหุ้นโดยผ่านการปรับลดประมาณการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมจาก 5.5% เหลือ 4-4.5% แล้ว ซึ่งคาดว่าจะทำได้ตามที่ปรับ ส่วนการเมืองก็จะคลี่คลายไปเองหลังการเลือกตั้ง" นายแสงธรรม กล่าว
สำหรับหุ้นที่แนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อเป็นหุ้นขนาดใหญ่ เช่นหุ้นกลุ่มพลังงาน-น้ำมัน หุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และหุ้นสื่อสาร โดยยังคงเป้าหมายดัชนีไว้ที่ ระดับ 710-830 จุด
ศก.กดดัชนีตลาดหุ้นรูดต่อ
นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บล.พรูเด้นท์สยาม จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นในไตรมาสที่ 3-4 จะยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะยังไม่ดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกและผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือจีดีพีของไทยจะเติบโตอย่างมากแค่ประมาณ 4% เท่านั้น น้อยกว่าที่สำนักงานทางเศรษฐกิจต่างๆ มองไว้ที่ 4-5%
ทั้งนี้ จากปัจจุบันที่ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 60 เหรียญดูไบต่อบาร์เรล และคาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีนี้จะสูงถึง 62-63 เหรียญดูไบต่อบาร์เรล มากกว่าราคาที่สำนักงานเศรษฐกิจต่างๆประเมินไว้ที่ 60เหรียญดูไบต่อบาร์เรล
ขณะที่ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐก็สูงขึ้นถึง 5% และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเป็น5.25ในปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งสูงกว่าการประเมินของสำนักงานทางเศรษฐกิจต้นปีที่อยู่ที่ 4.7-5% เท่านั้น และจะทำให้ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยไทยจะขึ้นต่อไปอีก
นอกจากนี้ การส่งออกของไทยจะขยายตัวลดลง เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นมากที่ประมาณ 38.5บาท/ดอลลาร์สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 39-39.5 บาท/ดอลลาร์ และเศรษฐกิจโลกจะชะลอการขยายตัว แม้จะเติบโตได้ดีในครึ่งปีแรก ขณะที่ปัญหาด้านการเมืองไม่นิ่ง จะส่งผลต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เพราะนโยบายระยะยาวใหม่ๆที่จะออกมาจะไม่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากการเลื่อนเมกะโปรเจกต์ออกไป
"เชื่อว่าเศรษฐกิจภาพรวมของไทยจะไม่ดีขึ้นและจะแย่กว่าที่ประเมินกันไว้ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจที่ใช้ประเมินดีกว่าภาพเศรษฐกิจจริงที่เป็นอยู่ จะมีเพียงภาคการท่องเที่ยวเท่านั้นที่จะขยายตัวดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปีที่แล้วการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากสินามิ ทำให้ปีนี้ภาครัฐให้การสนับสนุนมาก" นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวอีกว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะแย่จากที่คาดไว้ที่ 5-8% เป็นประมาณ 3% เนื่องจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เช่น ทองแดง อลูมิเนียม สูงขึ้นในระดับสูง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตและบริษัทจดทะเบียนก็ไม่สามรถผลักภาระเหล่านี้ได้ทั้งหมด ทำให้ส่วนต่างกำไรเบื้องต้น (Gross margin profit) ของบริษัทลดลง
ขณะที่กระแสหมุนเวียนของเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าในภูมิภาคเอเชียอีกครั้ง แต่จะเข้าตลาดหุ้นไทยไม่มาก เพราะนักลงทุนต่างชาติจัดอันดับความน่าสนใจในการลงทุนตลาดหุ้นไทยไม่ติด1ใน5ในเอเชียทั้งที่แต่ก่อนเคยติด1 ใน 3 เนื่องจากเมื่อเทียบจีดีพีของประเทศ จีน อินเดีย และเวียดนามที่จะเติบโตถึง 7% รวมทั้งประเทศเหล่านี้จะมีผปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งเปิดเสรีมากขึ้นซึ่งเป็นที่ยอกมรับของนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม หากตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ตกลงมาอยู่ที่ระดับ 700 จุด และมีสัดส่วนราคาต่อทุน หรือ P/E ต่ำกว่า 9 เท่า ก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีราคาถูกมากขึ้นและมีผลตอบแทนจาการลงทุนมากกว่าปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 4% ซึ่งอาจจะปัจจัยบวกที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาบ้าง
"ความน่าลงทุนของหุ้นไทยลดลงมากจากผลดำเนินที่ต่ำลง เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันแพงรวมทั้งราคาทองแดงและอลูมิเนียมที่สูงขึ้นจากปี2547ถึง100%ทำให้ส่วนต่างกำไรเบื้องต้นลดลง ดังนั้นเม็ดเงินต่างชาติที่จะไหลเข้ามาในเอเชียจะเข้ามาในไทยน้อยมาก แต่หากดัชนีตลาดหุ้นลดลงถึงระดับ 700 จุด ก็เป็นโอกาสของนักลงทุนในประเทศที่จะทยอยซื้อ" นายพิชัย กล่าว
สำหรับหุ้นที่แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในครึ่งหลัง เป็นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เพราะเป็นภาคอุตสาหกรรมที่จะขยายตัวได้ดีที่สุดในปีนี้ แต่หุ้นกลุ่มอื่นๆ นั้น ไม่เหมาะที่เลือกเป็นลงทุนภาคอุตสาหกรรม ต้องเลือกเป็นรายตัว โดยดัชนีเป้าหมายปีนี้อยู่ที่ 780-800 จุด
อนึ่ง ในวันนี้ (25 พ.ค.) สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จะแถลงข่าวผลสรุปการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เรื่องแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม 2549 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|