หลังการเปลี่ยนแปลงธุรกิจจากการผลิตผัก และผลไม้กระป๋อง มาเป็นผู้ผลิตข้าวโพดหวานควบคู่ไปกับธุรกิจ
ลงทุนได้เพียงปีเดียว ทำให้บริษัท นิธิ เวนเจอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
เริ่มมีกำไรให้เห็นในปลายปี 2538 โดยทำกำไรได้ทั้งสิ้น 3.3 ล้านบาทหรือ NCORP
จากที่ในปี 2537 มีผลในการดำเนินงานขาดทุนถึง 65.6 ล้านบาท ก่อนหน้านั้น
NCORP ขาดทุนต่อเนื่องกันมาหลายปี เพราะผลจากการตกต่ำธุรกิจผักและผลไม้กระป๋อง
อันทำให้ผู้ผลิตแทบทุกรายเจ็บตัวไปตาม ๆ กัน และผลขาดทุนที่ว่าก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้
NCORP ต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ในปี 2537 โดยดึงบริษัทเงินทุน
นิธิภัทร จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถือหุ้น 53.63% ซึ่งต่อมาได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือเพียง
10% ของทุนจดทะเบียนเมื่อสิ้นปี 2538 และปรับกระบวนทัพทางธุรกิจใหม่ด้วยการหันหน้าสู่ธุรกิจข้าวโพดหวาน
พร้อมกับธุรกิจลงทุนในหลักทรัพย์ รวมทั้งเปลี่ยนชื่อจาก "ริเวอร์แคว
อินเตอร์เนชั่นแนล" มาเป็นนิธิเวนเจอร์ฯ
กำไรที่ทำได้ในปี 2538 จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับ NCORP ในเส้นทางใหม่
โรจน์ บุรุษรัตนพันธ์ ผู้จัดการทั่วไปของ NCORP ชี้ถึงความแตกต่างของธุรกิจใหม่และเก่าของบริษัทว่า
"ผักและผลไม้กระป๋องเป็นธุรกิจที่ต้องใช้แรงงานมาก (LABOR INTENSIVE)
ส่วนธุรกิจข้าวโพดหวานเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง (CAPITAL INTENSIVE)
อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบศักยภาพการเติบโตของข้าวโพดหวานกับผักผลไม้กระป๋องแล้ว
ธุรกิจข้าวโพดหวานนี้มีอัตราเติบโตสูงถึงปีละ 10-15% ที่สำคัญก็คืออัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง
18% ขณะที่ผักและผลไม้กระป๋องมีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 10% เศษ ๆ
ขณะนี้ NCORP มีส่วนแบ่งตลาดโลกประมาณ 3-4% ซึ่งอยู่ในราวอันดับ 4 ของโลกแต่เป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ
โดยมีส่วนแบ่งการส่งออกถึง 60% ของมูลค่าการส่งออกของประเทศ
ลูกค้าของ NCORP กระจายอยู่ใน 26 ประเทศทั่วโลก แต่ตลาดหลักคือยุโรป ซึ่งมีสัดส่วนซื้อสินค้าถึง
60% โรจน์กล่าวว่าจะทยอยลดสัดส่วนให้เหลือเพียง 40% ในอีกสองปีข้างหน้า เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านตลาด
เป้าหมายของ NCORP คือ ต้องการมีส่วนแบ่งตลาด 10% ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า
หรือประมาณปี 2543 - 2544
แต่หนทางก็ไม่ง่ายนักเนื่องจากมีคู่แข่งอย่าง สหรัฐอเมริกา ผู้ส่งออกข้าวโพดหวานรายใหญ่ซึ่งกินส่วนแบ่งถึง
65% ตามด้วยฝรั่งเศส 15% ส่วนตำแหน่งที่สามเป็นของอิตาลีซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ
10%
โรจน์ กล่าวว่า NCORP ไม่หวั่นกับการแข่งขัน เนื่องจากคู่แข่งต่างประเทศต่างมีข้อจำกัดในด้านการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพด
นั่นคือการเพิ่มปริมาณวัตถุดิบทำได้ยากกว่าในประเทศไทย ซึ่งยังมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดหวานจำนวนน้อยเพียง
1 แสนไร่ เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มีจำนวนนับล้านไร่
อีกทั้งบริษัทมีจุดแข็งอยู่ที่การพัฒนาสายพันธุ์ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของธุรกิจนี้
ด้วยว่าบริษัทมีมือดีทางด้านนี้คือ ดร.ทวีศักดิ์ ภู่หลำ ดร.หนุ่มจากมหาวิทยาลัยฮาวาย
ซึ่งศึกษาและมีประสบการณ์ด้านนี้โดยเฉพาะ และนับเป็นหนึ่งในระดับแนวหน้าด้านข้าวโพดหวานซึ่งมีไม่กี่คนในประเทศไทย
"สหรัฐฯ เป็นต้นกำเนิดข้าวโพดหวาน เขาพัฒนาสายพันธุ์มานาน แต่เราก็ไม่กลัว
สายพันธุ์เราดีกว่าเขาเสียอีก เพราะมีปริมาณน้ำตาลซึ่งจะเป็นตัวให้ความหวานในข้าวโพดสูงถึง
15-16% ขณะที่ของอเมริกามีแค่ 12% เท่านั้น"
อย่างไรก็ดี ปัญหาสำคัญของผู้ผลิตในประเทศคือต้นทุนข้าวโพดที่สูงกว่า เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดต่อไรของสหรัฐฯทำได้ถึง
3 ตันต่อไร่ ขณะที่ของไทยทำได้เพียง 1.5 ตันต่อไร่ ดังนั้นราคาข้าวโพดที่เป็นวัตถุดิบของข้าวโพดกระป๋องย่อมสูงกว่าต่างประเทศ
โดยมีราคาตกประมาณกิโลกรัมละ 2.2 - 2.5 บาท ขณะที่ของสหรัฐฯ ตกประมาณกิโลกรัมละ
1.8 บาทหรืออย่างสูงสุดไม่เกิน 2 บาท แต่เมื่อหักกลบลบค่าขนส่งและค่าแรงงานที่ประเทศไทยต่ำกว่าแล้ว
ก็จะทำให้ต้นทุนข้าวโพดกระป๋องไทยสูงกว่าสหรัฐฯ ประมาณ 20%
" ทางแก้ก็คือต้องพยายามพัฒนาสายพันธุ์ให้มีผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ซึ่งเราก็มีการปรับปรุงขึ้นตามลำดับ
เดิมสายพันธุ์ของเราคือ ATS-1 มีผลผลิตเพียง 1.5 ตันต่อไร ตอนนี้ก็มี ATS-2
ที่ให้ผลผลิต 1.8 ตันต่อไร่ และในเมษายนปีหน้าเราก็จะเริ่มใช้สายพันธุ์ ATS-3
ซึ่งจะให้ผลผลิตสูงประมาณ 2 ตันต่อไร่" โรจน์กล่าวอย่างมีความหวัง
พร้อมไปกับการขยายตัวต่างประเทศ MCORP ก็มีแผนขยายตลาดในประเทศอีกด้วย
ซึ่งขณะนี้บริษัทมียอดขายในประเทศเพียง 20% ของยอดขายรวมเท่านั้น โรจน์ชี้ถึงแนวทางว่า
"ตลาดข้าวโพดในประเทศมีศักยภาพ แต่คนไทยยังไม่นิยมมาก ฉะนั้นเราต้องพยายามสร้างความต้องการของตลาดขึ้นมา
ด้วยการผลักดันให้นำข้าวโพดหวานไปเป็นส่วนประกอบของอาหารมากขึ้น"
ศักยภาพที่ว่าเห็นได้จากอัตราเติบโตในประเทศของบริษัทซึ่งขยายตัวถึงปีละ
40 % เพียงแต่การที่ผลิตภัณฑ์ทั้ง 5 ชนิด คือ ข้าวโพดฝักสด ข้าวโพดอบเนย
ข้าวโพดผัดเนย ข้าวโพดทอด และข้าวโพดคลุกมะพร้าว ซึ่งจัดจำหน่ายภายใต้ชื่อยี่ห้อ
"เทสตี้" (TASTEE) ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ข้าวโพดสดเป็นวัตถุดิบทำให้ยากต่อการขนส่งและขยายตัวในต่างจังหวัด
ในปัจจุบันการขายทำโดยผ่านบูธในห้างสรรพสินค้าและสถานศึกษาต่าง ๆ จำนวน 80
แห่ง แถบกรุงเทพฯ และปริมณฑล
แต่โรจน์ก็มีแนวคิดแก้ปัญหานี้อยู่บ้างแล้ว "หัวใจการจัดการคือเรื่องการขนส่ง
ตอนนี้คิดว่าจะทำรถออกไปเร่ขายตามชุมชนเพื่อกระจายไปยังต่างจังหวัดได้ง่ายขึ้น"
นอกจากช่องทางกระจายสินค้าแล้วยังมีแผนเพิ่มสินค้าใหม่ โดยในตุลาคมนี้
จะออกสินค้าอีก 2 ตัวคือข้าวโพดบรรจุถุงสูญญากาศ ซึ่งแต่เดิมทำ เพื่อส่งออกเท่านั้น
และซุปข้าวโพดกระป๋อง ซึ่งตัวหลังถือเป็นสินค้าที่ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดทำออกขายในประเทศ
NCORP หวังว่าสินค้าจะช่วยทำให้ยอดขายในประเทศเพิ่มจาก 60 ล้านบาทของตลาดรวมราวหนึ่งพันล้านบาทได้อย่างไม่ยากเย็น
ทางด้านธุรกิจลงทุนซึ่งแม้จะอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็ดูจะไปได้ดี เนื่องจากมี
บงล.นิธิภัทร เข้ามาดูแลพอร์ตให้ ในปีที่แล้ว NCORP มีกำไรจากการลงทุน 17
ล้านบาท "วัตถุประสงค์หลัก คือ เราจะไม่เข้าไปถือหุ้นใหญ่" โรจน์กล่าวถึงนโยบายกว้าง
ๆ
เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจเกษตรแล้ว โรจน์ยอมรับว่าธุรกิจลงทุนเป็นตัวสร้างกำไรให้มากกว่า
ขณะที่ธุรกิจเกษตรเป็นตัวทำรายได้ อย่างไรก็ตามบริษัทก็คงไม่ทิ้งธุรกิจเกษตร
เพราะมีรายได้สม่ำเสมอกว่าธุรกิจลงทุนนั่นเอง
"ปีที่แล้วธุรกิจเกษตรอาจมีรายได้น้อยเพราะยังทำไม่เต็มที่ แต่ปีนี้เรียกว่าเริ่มมีกำไร
ส่วนธุรกิจลงทุนก็มีกำไรอยู่แล้ว เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นคนบริหารพอร์ต"
ในปีนี้ โรจน์คาดว่าบริษัทจะมีรายได้รวมเกิน 400 ล้านบาทแน่นอน หรือเติบโตจากเดิมประมาณ
30% และหากแนวโน้มดังกล่าวยังคงเป็นไปเช่นนี้ เขาคาดว่าจะสามารถตัดขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ
90 ล้านบาทได้ภายใน 2 ปีนี้ หรือประมาณในปี 2541
การรุกรอบด้านทั้งในและนอกประเทศคงทำให้ความหวังที่ว่าไม่ไกลเกินเอื้อม