ศิริชัย รัศมีจันทร์ เราพยายามที่จะไม่เพิ่มทุน


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

ในฐานะมือฉมังทางด้านการเงินของกลุ่มบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ที่มีการขยายการลงทุนอย่างไม่หยุดยั้ง ศิริชัย รัศมีจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ยังยืนยันอย่างไม่ค่อยหนักแน่นว่า แม้บริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จะรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E RATIO) ของ SAMART ไว้ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 1:2.5 เท่า และพยายามที่จะไม่เพิ่มทุน

ทั้งนี้นอกจากการเพิ่มทุนจะทำให้เงินปันผลต่อหุ้นลดลงเนื่องจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นแล้ว (Dilution Effect) ในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นตกต่ำสุดขีดเช่นนี้ ราคาหุ้นเพิ่มทุนคงออกมาไม่สวยหรูนัก และอาจทำให้การระดมทุนไม่เข้าเป้าเท่าที่ควร

SAMART มีการขยายตัวอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยมีการเปิดบริษัทใหม่ขึ้นมากว่า 10 แห่ง เช่น ไทยเทรดเน็ท พอสเน็ท สามารถคอมเทค สามารถอีซี่เปย์ สามารถอินโฟเนต สามารถมาเลเซีย เอสดีเอ็น บีเอชดี เป็นต้น

"ประมาณ 1-2 ปีก่อนเรามีการขยายตัวมากเหมือนการปลูกต้นไม่ใหม่ ช่วงนี้ก็คงอยู่ระหว่างการรดน้ำให้มันเติบโต เราคงยังไม่มีการตั้งบริษัทอะไรใหม่ ๆ หรือลงทุนอะไรมาก ๆ ในปีนี้" ศิริชัยอธิบายเมื่อถูกถามถึงเม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในการลงทุนช่วงนี้

เหตุที่น่าเป็นห่วงเนื่องจาก SAMART มีเงื่อนไขกับ บงล. ทิสโก้ ว่าจะรักษาระดับหนี้สินต่อทุนของบริษัทไม่ให้เกิน 2.5 เท่า ซึ่งศิริชัยยังคงยืนยันว่านั่นเป็นนโยบายของบริษัทอยู่แล้ว แม้ว่าปัจจุบันสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของ SAMART จะอยู่ประมาณ 2.2 เท่า แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการกู้เงินและนำมาฝากต่อในลักษณะของการ ARBITRAGE เนื่องจากต้นทุนเงินกู้โดยเฉลี่ยของบริษัทอยู่ในระดับ 9% เท่านั้น ขณะที่นำมาฝากได้ถึง 13-14%

อย่างไรก็ตามการลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ ที่จะมีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น PCN 1800 ที่ SAMART จะเปลี่ยนจากการเป็น SERVICE PROVIDER มาเป็น OPERATOR นั้น ก็จำต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล อาจจะถึงหลักพันล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการลงทุน ซึ่ง SAMART กำลังเจรจากับ TAC คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ขณะที่บริษัทยังมีเงื่อนไขกับ บงล. ทิสโก้อยู่ หนทางที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดก็คงไม่พ้นการเพิ่มทุน

ศิริชัย กล่าวว่า "เราพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเพิ่มทุน หากมีโครงการลงทุนใด ๆ ก็อาจจะใช้วิธีตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา และใช้บริษัทดังกล่าวก็เงินมาดำเนินการเอง "

แม้ว่าการกู้เงินโดยใช้ชื่อ SAMART โดยตรงจะทำให้มีเครดิตดีกว่าซึ่งจะทำให้กู้เงินได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่ศิริชัยยังคงยืนยันว่าแตกต่างกันไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทแม่มีเครดิตดีอยู่แล้ว

ปัจจุบันการให้บริการ PCN 1800 ของกลุ่ม SAMART ได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 22,000 ราย จากที่ต้นปีมีเพียงไม่กี่พันรายเท่านั้น พ.อ.เรืองทรัพย์ โฆวินทะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจบริการเครือข่าย ตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีนี้จะมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30,000 ราย

ในส่วนของโครงการโทรศัพท์สาธารณะทางไกลชนบทผ่านดาวเทียม ซึ่งองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยรับหลักการแล้วให้ บมจ.สามารถ และบ.อะควิเม้นท์ ติดตั้งกว่า 40,000 หมู่บ้าน โดยติดตั้งให้เสร็จภายในปี 2541 นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดว่า SAMART จะติดตั้งทั้งสิ้นกี่หมู่บ้าน ราคาเท่าไหร่ คาดว่าจะเจรจาเสร็จภายใน 1 เดือน

โครงการนี้นับว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนระดับพันล้านเช่นกัน แต่คงไม่เป็นปัญหา เนื่องจาก บมจ.สามารถ เทลคอม (SAMTEL) เป็นผู้ดำเนินการ และ (SAMTEL) เองก็เพิ่งระดมทุนถึง 1,176 ล้านบาท โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ยังมีเม็ดเงินเหลือสำหรับการลงทุน และมีที่ว่างสำหรับการกู้ยืมเงินอีกจำนวนมาก ปัจจุบัน SAMTEL มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับ 1.2 เท่าเท่านั้น

ในด้านของบริษัท สามารถ โพสต์เทล ซึ่งมีเงื่อนไขกับกรมไปรษณีย์โทรเลขว่าเมื่อมีการเปิดเสรีเพจเจอร์แล้ว POSTEL จำต้องขยายสถานีเครือข่ายให้ครบ 250 แห่งภายในปีนี้ ซึ่งขณะที่มีสถานีเครือข่ายแล้ว 220 แห่ง คาดว่าในส่วนนี้จะใช้งบลงทุนไม่สูงนัก และอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท สามารถ โพสต์เทลเอง

พ.อ.เรืองทรัพย์ เปิดเผยว่า บริการ POSTEL ขณะนี้มียอดผู้ใช้บริการกว่า 72,000 รายแล้ว คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ยอดผู้ใช้บริการจะไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย นับว่ามีการขยายตัวเร็วมาก เมื่อเทียบกับเมื่อต้นปีก่อนเปิดเสรีมียอดผู้ใช้บริการไม่ถึงหมื่นราย

ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของบริษัทมาจากสายธุรกิจบริการเครือข่ายประมาณ 37% ธุรกิจการผลิต 19% ซึ่งเท่ากับธุรกิจอิเล็กโทรนิกส์ลีฟวิ่งมาจากธุรกิจต่างประเทศ 12% ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์คอมเมิร์ส 11% และธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์มีเดียอีก 2%

ทั้งนี้สายธุรกิจบริการเครือข่ายมีการขยายตัวสูงมาก เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งทำรายได้ประมาณ 10% ของยอดขายรวมของบริษัท อย่างไรก็ตาม พ.อ.เรืองทรัพย์ ยังคงคาดว่าในสายธุรกิจนี้จะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2538 ประมาณ 77%

สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีของ SAMART พบว่ามีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนประมาณ 36% มียอดขาย1,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 65% ขณะที่กำไรขยายตัวประมาณ 11% จาก 268 ล้านบาทในปีก่อนเป็น 298 ล้านบาทในปีนี้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.