บิ๊กTOGลั่นไม่ซื้อหุ้นในตลาดเพิ่มมั่นใจบาทแข็งไม่กระทบเป้ารายได้


ผู้จัดการรายวัน(24 พฤษภาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ผู้บริหาร "ไทยออพติคอลฯ" ลั่นไม่เข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มอีก เหตุถือหุ้นระดับเหมาะสมแล้ว เผยที่ผ่านมาเข้าซื้อหุ้นต้องการรักษาระดับถือหุ้นก่อนให้พันธมิตรต่างชาติในวันแรกที่เข้าจดทะเบียน พร้อมย้ำสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นยังคงต่ำกว่าราคาจองเกิดจากภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อ พร้อมคงเป้ารายได้ปีนี้โต 5-10% จากปี 48 ที่มีรายได้ 1.2 พันล้านบาท ถึงแม้ได้รับกระทบค่าเงินบาทแข็ง ทำให้ได้ส่วนต่างมาร์จิ้นไม่สูง

ข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ผู้บริหารของบริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG เข้าซื้อหุ้นบริษัทตั้งแต่วันแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯประกอบด้วย นายสว่าง ประจักษ์ธรรม ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการซื้อจำนวน 7,800,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 2.84 บาท นายสาโรจน์ ประจักษ์ธรรม กรรมการ ซื้อจำนวน 2,780,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 2.78 บาท ในวันที่ 17 พ.ค.49 ซึ่งวันที่ 18 พ.ค.49 นายประจักษ์ธรรม ได้เข้าซื้อหุ้นอีก 100,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 2.76 บาท และวันที่ 19 พ.ค. ซื้อหุ้นอีก 100,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 2.75 บาท

ขณะที่ผู้บริหาร บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ประกอบด้วย นายไต้ จงอี้ กรรมการ ได้ซื้อหุ้นจำนวน 300,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 5.57 บาท ในวันที่ 10 พ.ค.49 ซึ่งในวันที่ 15 พ.ค.ได้ซื้อหุ้นอีก 100,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 4.87 บาท และวันที่ 16 พ.ค.49 ซื้อหุ้น 50,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 4.24 บาท นายธีรวุฒิ ศุภวิริยกุล กรรมการอิสระ ซื้อหุ้นจำนวน 100,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 5.65 บาท ในวันที่ 10 พ.ค.49 นายยศกร บุรกรรมโกวิท ซื้อหุ้น 100,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 5.80 บาท ในวันที่ 10 พ.ค.49

นายสว่าง ประจักษ์ธรรม ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ TOG กล่าวว่า ส่วนตัวไม่มีแผนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในกระดานเพิ่มขึ้นอีก ถึงแม้ราคาหุ้นในขณะนี้จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาจอง เนื่องจากต้องการให้ราคาหุ้นของบริษัทเป็นไปตามกลไกของตลาด และขณะนี้ตนเองก็ถือหุ้นในระดับที่เหมาะสมแล้ว

ส่วนสาเหตุที่เข้าไปลงทุนซื้อหุ้น TOG ในวันแรกที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 พ.ค.49 จำนวน 7,800,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 2.84 บาท นั้น เนื่องจาก ต้องการซื้อเพื่อที่จะถือหุ้นในระดับเดียวกับก่อนขายหุ้นให้กับ Mr. Rudolf Sute ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท จำนวน 7,687,800 หุ้น ราคาหุ้นละ 3.40 บาท ซึ่งก่อนขายหุ้นตนเองถือหุ้น 29,680,000 หุ้น หรือคิด เป็น 8.94 % และนาย สาโรจน์ ประจักษ์ธรรม ที่เข้าไปซื้อหุ้นก็เพื่อที่จะซื้อหุ้นเพื่อรักษาการถือหุ้นก่อนที่จะขายหุ้นให้ Mr. Rudolf Sute เช่นกัน

สำหรับค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าขึ้นก็มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานเรื่องของอัตรากำไรขั้นต้นบ้าง แต่ก็ไม่มาก จากการที่บริษัทมีการซื้อวัตถุดิบเป็นดอลลาร์สหรัฐ และก็มีการขายสินค้าเป็นดอลลาร์สหรัฐ แต่บริษัทยังคงเป้ารายได้ปี 49 ของบริษัทเพิ่มขึ้น 5-10% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 1,022 ล้านบาท อย่างไรก็ตามราคาหุ้นของบริษัทที่ยังคงต่ำกว่าราคาจองเนื่องจาก ภาวะตลาดไม่ดี ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ซึ่งก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกลของตลาด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.