ผังเมืองใหม่บีบจัดสรรล้มทาวน์เฮาส์KCรับอานิสงส์สต๊อกเก่าป้อนลูกค้า1.8พันยูนิต


ผู้จัดการรายวัน(24 พฤษภาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

เสือปืนไว"เค.ซี.ฯ"ปรับกลยุทธ์พัฒนาโครงการ เพิ่มสัดส่วนทาวน์เฮาส์เป็น35% จากเดิม 20% หลังผังเมืองใหม่ที่กทม.ประกาศใช้เป็นพิษ ระบุข้อกำหนดระยะถอยร่นบีบจัดสรรหน้าใหม่-เก่าล้มแผนพัฒนาทาวน์เฮาส์ เหตุพื้นที่พัฒนาไม่พอต้องปรับแผนโครงการใหม่ เชื่อซับพลายทาวน์เอาส์ใหม่หายไปเยอะ ขณะที่จัดสรรที่มีสต็อกเดิมเร่งทำยอดขาย ยอมรับพิษการเมืองทำยอดขายไตรมาสแรกต่ำกว่าเป้า มั่นใจตั้งแต่ไตรมาส2ยอดขายเพิ่มต่อเนื่อง เพราะมีสต็อกทาวน์เฮาส์รองรับลูกค้ากว่า 2,000 ล้านบาท

นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC เปิดเผยจากสถานการณ์การปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นอีกส่งผลกระทบต่อการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากเดิม และทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง มีส่วนอย่างมากต่อการเลือกซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค โดยสังเกตจากในช่วงปีที่ผ่านมาลูกค้าหันมาซื้อที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสามารถแทรกอยู่รอยต่อในเมืองได้ และมีข้อดีในเรื่องช่วยลดต้นทุนการเดินทางเข้าสู่ย่านธุรกิจได้มาก ประกอบกับในช่วงต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาการประกาศผังเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ ทำให้การพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์จะมีจำนวนลดลงในช่วงต่อไปเพราะติดข้อกำหนดของ ผังเมืองใหม่

ดังนั้น บริษัทจึงได้ปรับแผนเพิ่มสัดส่วนในการพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ในปี48 ที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนในการพัฒนาทาวน์เฮาส์ 20%และบ้านเดี่ยว80% โดยในปี49 นี้บริษัทได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาทาวน์เฮาส์เป็น 35% และบ้านเดี่ยว 65% ซึ่งจากการปรับสัดส่วนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัท ทำให้สอดคล้องกับความต้องการ(ดีมานด์)ในตลาดทาวน์เฮาส์ที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันจำนวนโครงการทาวน์เฮาส์ที่เปิดใหม่ก็มีจำนวนลดลง เพราะถูกข้อกำหนดของผังเมืองใหม่บังคับ ซึ่งคาดว่าการลดลงของจำนวนโครงการทาวน์เฮาส์ในตลาดจะส่งผลดีต่อยอดขายของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังมากขึ้น

"ปัญหาในเรื่องการเมือง ราคาน้ำมัน และดอกเบี้ย เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถในการควบคุมของผู้ประกอบการ แต่ เค.ซี.ฯ ก็ยังได้รับประโยชน์จากการประกาศใช้ผังเมืองใหม่ของกทม. ที่มีข้อกำหนดในเรื่องระยะถอยร่นของโครงการมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการทาวน์เฮาส์ ที่กำลังจะพัฒนาโครงการใหม่ออกมาต้องมีการปรับผังโครงการใหม่ หรือชะลอการเปิดโครงการออกไป บางโครงการถูกข้อกำหนดดังกล่าวจนทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการต่อได้ ในขณะที่ เค.ซี.ฯ มีข้อได้เปรียบ เพราะมีสต็อกสินค้า และโครงการที่เปิดขายอยู่แล้วในปัจจุบัน ถึง 3 โครงการ หรือมีสินค้ารองรับลูกค้าได้ถึง 1,800 หน่วย มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท "นายอภิสิทธิ์ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 บริษัทมียอดรายได้รวม 245.66 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 17.62% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 48 ซึ่งมีรายได้รวม 298.14 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 35.14 ล้านบาท สาเหตุที่ยอดขายของบริษัทในไตรมาสแรกลดลง เนื่องจากผลกระทบราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นและภาวะด้านการเมือง ที่ส่งผลให้เกิดการชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยในตลาดที่อยู่อาศัยออกไป รวมถึงปัญหาการเข้มงวดปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งกู้ไม่ผ่าน ทำให้บริษัทเสียลูกค้าไปจำนวนหนึ่ง

ทั้งนี้ แม้ว่ายอดขายจะลดลงแต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากเค.ซี.ฯยังสามารถรักษาสัดส่วนต้นทุนการผลิตและอัตราการเติบโตของกำไรเบื้องต้นให้อยู่ในระดับที่บริษัทวางไว้ได้ โดยมีอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 38.65% และมีอัตราการเติบโตของกำไรสิทธิที่ 17.62% ซึ่งถือว่าอัตรากำไรดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันตลาดยังมีปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค แต่บริษัทเชื่อมั่นที่จะมียอดรับรู้รายได้จากการขายอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้มียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือประมาณ 900 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพิ่มมาจากยอดขายในไตรมาสแรก ซึ่งยอดรวมทั้งหมดสามารถแบ่งเป็น ยอดขายในส่วนของบ้านเดี่ยว 700 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์อีก 200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป หลักๆจะมาจากโครงการทาวน์เฮาส์ โดยตลอดทั้งปี ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ 2,200 ล้านบาท แต่จากผลกระทบด้านการเมืองทำให้ยอดขายที่อยู่อาศัยในตลาดชะลอตัวลง ดังนั้นคาดว่ายอดขายในปีนี้จะปรับตัวลดลงจากเป้าหมายที่วางไว้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.