บริษัทเงินทุน บางกอกเงินทุน ในอดีตถือเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรง
จนทางการต้องเข้ามาดูแล และถูกบรรจุเข้าไปอยู่ในโครงการทรัสต์ 4 เม.ย. เมื่อปี
2527
และในที่สุดเมื่อปี 2535 ที่ผ่านมานี้ กลุ่มไรมอนและตระกูลศรีไกรวินซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไรมอนแลนด์
และบริษัทสวีเดนมอเตอร์ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์วอลโว่ ได้จับมือกันเข้าไปประมูลใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนของบริษัทบางกอกเงินทุนมาจากกองทุนฟื้นฟู
และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และเริ่มเข้ามาบริหารบริษัทตั้งแต่เดือน มีนาคม
2536
แม้ว่าจะประมูลมาด้วยราคาเพียง 300 ล้านบาทซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างถูก
แต่ก็แถมหนี้สินติดมาด้วยเกือบ 2,000 ล้านบาท จึงไม่ใช้เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้ที่จะเข้ามาบริหารและทำให้บริษัทอยู่ในภาวะที่มีกำไร
บริษัทบางกอกเงินทุน จัดว่าเป็นสถาบันการเงินขนาดเล็ก มีสินทรัพย์เพียงประมาณ
6 พันล้านบาท ในปัจจุบันถือว่ายังไม่ค่อยมีฐานลูกค้าเป็นของตัวเองเท่าไหร่นัก
เนื่องจากบริษัทเริ่มทำธุรกิจอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา
ดังนั้นการเติบโตของบริษัทถือว่ายังอยู่ในระยะเริ่มต้น จึงจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างฐานให้แน่นเป็นอันดับแรก
ก่อนที่จะแยกหรือแตกตัวเข้าไปสู่ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกันอยู่
ปกรณ์ บุณยเกื้อกูล กรรมการผู้จัดการคนใหม่ที่เพิ่งถูกทาบทามให้เข้ามารับตำแหน่งใหม่เพียงระยะเวลาปีกว่า
จึงจำเป็นต้องทำงานหนักอย่างแรก คือ ต้องทำตัวเลขติดลบหนี้เก่าให้เป็นศูนย์
รวมทั้งต้องเริ่มต้นสร้างรายได้ให้กับบริษัทควบคู่ไปด้วย เพราะว่ารายได้หลักจากธุรกิจสินเชื่อขณะนี้แทบไม่มีเข้ามาเลย
จึงต้องอาศัยการขายสินทรัพย์ถาวรไปบางส่วนเพื่อเคลียร์หนี้ที่ติดค้างมา
กรรมการผู้จัดการคนใหม่ กล่าวให้ฟังว่าในอนาคตอันใกล้นี้ การแข่งขันของธุรกิจประเภทนี้จะมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย
ๆ ทำให้การทำงานมีความยากขึ้นเป็นเงาตามตัว ผู้บริหารจำต้องใช้ความสามารถมากขึ้น
เขาย้อนให้ฟังว่าในอดีตตลาดค่อนข้างปิด การแข่งขันไม่มากนัก จะทำอะไรก็ง่ายไม่ต้องออกแรงมากก็ทำกำไรได้ดี
แต่นับจากนี้ไปการดำเนินธุรกิจจะยากขึ้น เพราะฉะนั้นการที่บริษัทของเราเล็กอาจจะมีความเสียเปรียบที่ไม่สามารถทำธุรกิจได้หลากหลายมากนัก
คงจะเลือกทำธุรกิจที่ดีและมีอนาคตดีเท่านั้น
แนวความคิดของปกรณ์ก็คือการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันควรจะมีความหลากหลายแต่ต้องไม่มากจนเกินไป
"ในระยะแรกที่เรายังนับหนึ่งอยู่ ก็ควรจะเริ่มจากธุรกิจขั้นพื้นฐานก่อน
ต่อมาเมื่อมีความเข้มแข็งดีแล้วอาจจะหันไปทำธุรกิจที่มีความหลากหลายขึ้นก็เป็นได้"
ในระยะแรกนั้นปกรณ์เล่าว่าคงจะเน้นธุรกิจทางด้านสินเชื่อเป็นหลัก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดตอนนี้
ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด การทำธุรกิจเงินทุน หรือธนาคารพาณิชย์ก็ยังคงมีรายได้หลักมาจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย
ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ส่วนธุรกิจอื่นที่คิดว่าทำได้ไม่ดี สู้คนอื่นไม่ได้ก็จะไม่ทำ
" สำหรับเป้าหมายในเบื้องต้นที่จะเน้น มี 3 กลุ่มเท่านั้น คือ สินเชื่อเคหะ
สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่ออุตสาหกรรม เพราะถือว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้จากดอกเบี้ยมากกว่ารายได้ที่เก็บแต่ค่าธรรมเนียม
ซึ่งการปล่อยสินเชื่อทำให้มีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องและบริษัทยังสามารถประเมินรายได้ได้ล่วงหน้า
ทำให้บริษัทสามารถรู้และกำหนดทิศทางการเติบโตของบริษัทได้ "
ในขั้นแรกนี้ปกรณ์บอกว่าบริษัทยังไม่มีฐานลูกค้ามากนัก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างฐานธุรกิจของบริษัทให้อยู่ได้ก่อนซึ่งอาจจะต้องเป็นการพึ่งพาเอื้อกันเองก่อน
ระหว่างธุรกิจในเครือของ 2 กลุ่มหลักซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ จากกลุ่มไรมอนและจากกลุ่มตระกูลศรีไกรวิน
เมื่อธุรกิจของบริษัทแข็งแรงดีแล้ว ค่อยขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มอื่น ๆ ขยายวงกว้างออกไป
สำหรับกลุ่มศรีไกรวินและกลุ่มไรมอนนั้นถือหุ้นใหญ่อยู่ในบริษัทบางกอกเงินทุนถึง
80% โดยเฉพาะกลุ่มศรีไกรวินนั้นทำธุรกิจค้ารถ เพราะเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์วอลโว่
และไครสเลอร์สของบริษัทสวีเดนมอเตอร์ ซึ่งสามารถหาประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ที่เป็นดีลเลอร์ของบริษัทได้
ขณะเดียวกันก็ยังจะขยายสินเชื่อไปยังกลุ่มลูกค้าของไรมอนแลนด์ได้อีกทางหนึ่งด้วย
" การที่เรามุ่งตลาดไปตรงนี้เพราะว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกัน
และกันในระยะแรก อีกทั้งบริษัทเองก็รู้ข้อมูลของลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มนี้เป็นอย่างดีก็น่าจะทำงานได้ง่ายขึ้น
เราน่าจะใช้จุดนี้ที่ได้เปรียบคู่แข่งขัน สำหรับเป้าหมายในระยะต่อไป คือ
3 ปีข้างหน้านั้น บริษัทบางกอกเงินทุนตั้งเป้าว่าด้านการปล่อยสินเชื่อต้องไม่ต่ำกว่า
1,200 ล้านบาท"
ในส่วนของสินทรัพย์นั้น ปกรณ์บอกว่าภายในต้นปี 2540 นี้ บริษัทตั้งเป้าเอาไว้ว่าต้องมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น
1 หมื่นล้านบาทหรือเพิ่มจากปีนี้เกือบ 100% และมีกำไรสุทธิประมาณ 180 ล้านบาท
ซึ่งในปี 2538 บริษัทสามารถทำกำไรได้ 150 ล้านบาท
ปกรณ์ชี้แจงว่า หลังจากที่ซื้อใบอนุญาตมาราว 3 ปี ทางผู้บริหารแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย
เพราะเหมือนกับเพิ่งเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด การที่บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ถึง
100% นั้นไม่ถือว่าเป็นตัวเลขที่มากมายอะไร
"สิ่งที่เราหวังมากที่สุดและพยายามเดินไปให้ถึงเป้าหมาย คือการที่จะทำให้สินทรัพย์ของบริษัทขยายตัวเพิ่มขึ้นปีละประมาณ
5 พันล้านบาทให้ได้ตั้งแต่ปี 1997 จนถึงปี 2001 ซึ่งคงต้องเหนื่อยกันพอสมควร"
ทางด้านส่วนตัวนั้น ปกรณ์ถือว่าเป็นผู้ที่คร่ำหวอดทางด้านการเงินคนหนึ่งมีประสบการณ์ทำงานกับธนาคารทั้งในและต่างประเทศ
ก่อนหน้าที่จะถูกทาบทามมาอยู่ที่นี่เขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อของลูกค้ารายใหญ่ที่ธนาคารซิตี้แบงก์
จนเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสประจำสาขาประเทศไทย และเป็นผู้จัดการภาคพื้นประเทศไทยด้านไพรเวทแบงก์กิ้ง
จากนั้นย้ายไปประจำที่สำนักงานใหญ่ที่นิวยอร์กและเลื่อนเป็นผู้ประสานงานด้านไพรเวทแบงก์กิ้งประจำภูมิภาคเอเชีย
แปซิฟิค และเป็นหัวหน้าส่วนไพรเวทแบงก์กิ้ง ประจำสาขาซานฟรานซิสโก และลอสแองเจลิส
ซึ่งผ่านประสบการณ์ทางด้านสินเชื่อในสหรัฐอเมริกามากว่า 5 ปี