ชมรมผู้ค้าตราสารหนี้ หรือ BDC (Bond Dealers' Club) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่
1 พฤศจิกายน 2537 แม้ชื่อจะเป็นเพียงชมรมแต่โดยสถานะแล้วเทียบเท่าตลาดรองตราสารหนี้ที่มีอยู่ในต่างประเทศทีเดียว
(Secondary Market) จวบจนถึงทุกวันนี้ BDC กำลังย่างเข้าสู่ขวบปีที่ 3 หากมองย้อนหลังลงไปจะยบว่าตลาดแห่งนี้มีพัฒนาการที่ก้าวหน้าและเติบโตอย่างเห็นได้ชัด
"ในตลาดการเงิน (Financial Market) จะเห็นว่า สัดส่วนเงินกู้ที่มาจากธนาคารพาณิชย์สูงที่สุด
โดยในปี 1995 มีมูลค่าถึง 4,294 พันล้านบาท รองลงมามาจากตลาดหุ้นมีมูลค่า
3,564 พันล้านบาท ส่วนการระดมทุนจากตลาดตราสารหนึ้ยังมีสัดส่วนน้อยมาก มีมูลค่าเพียง
415 พันล้านบาท นั่นก็หมายความว่าตลาดนี้ยังมีโอกาสเติบโตไปได้อีกมาก"
สมจินต์ ศรไพศาล Senior Vice President ชมรมผู้ค้าตราสารหนี้ กล่าวถึงอนาคตของตลาดนี้ในงานสัมมนา
"Thai Bond '96"
หากพิจารณาเปรียบเทียบตลาดตราสารหนี้ของไทยเมื่อสิ้นสุดเดือนธันวาคม 1995
กับมูลค่าสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด จะพบว่ามีขนาดเพียง 8 % และเมื่อเทียบกับผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ
(GDP) มีสัดส่วน 10% และ 12% เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับตลาดหุ้น
"ในต่างประเทศโดยทั่วไป ตลาดตราสารหนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นถึง
2 เท่า อย่างไรก็ตาม สำหรับไทยการที่จะทำให้ตลาดตราสารหนี้ใหญ่เท่าตลาดหุ้นยังเป็นหนทางอีกยาวไกล"
ราวปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา BDC พร้อมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เดินทางไปเยี่ยมชมตลาดตราสารหนี้ในยุโรป
สหรัฐอเมริกา และที่โยฮันเนสเบิร์ก อาฟริกาใต้ ซึ่งรูปแบบตลาดของยุโรป และสหรัฐฯ
มีลักษณะเป็นตลาด Over The Counter หรือ OTC ในขณะที่โยฮันเนสเบิร์กมีรูปแบบเป็นศูนย์ซื้อขาย
หรือที่เรียกว่า Exchange ซึ่งเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก ทั้งนี้ก็เพื่อศึกษาถึงข้อดี-ข้อเสียทั้งในรูปแบบของ
OTC และ Exchange ก่อนที่จะนำมาประยุกต์ใช้ยกระดับตลาดตราสารหนี้ของไทย
ปัจจุบัน BDC มีสมาชิกทั้งสิ้น 87 ราย เป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 58
ราย บริษัทหลักทรัพย์ 11 ราย บริษัทเงินทุน 1 ราย ธนาคารพาณิชย์ไทย 10 ราย
และธนาคารพาณิชย์ต่างชาติอีก 7 ราย ซึ่งสมาชิกแต่ละรายจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้า
1 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมประจำปี 200,000 บาท และสมาชิกทุกรายจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ
และข้อบังคับจรรยาบรรณ (Code of Conduct) ของ BDC โดยในการซื้อ-ขายแต่ละครั้งจะต้องมีการบันทึกลงในระบบของ
BDC
ด้านตัวสินค้าในตลาด จนถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หุ้นกู้ภาคเอกชนมีสัดส่วนสูงถึง
32% ของยอดคงค้างของตลาดรวมที่มีมูลค่า 123,237.5 ล้านบาท โดยสามารถแยกออกเป็นยอดคงค้างหุ้นกู้
มูลค่า 102,747.5 ล้านบาทจำนวน 86 Issues หุ้นกู้แปลงสภาพที่เข้ามาซื้อขายเมื่อวันที่
1 ธันวาคม 1995 มูลค่า 4,490 ล้านบาทจำนวน 5 Issues และพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเข้าซื้อขายในตลาดเมื่อ
24 ตุลาคม 1995 มูลค่า 16,000 ล้านบาทจำนวน 15 Issues
อย่างไรก็ตาม ในราวเดือนกันยายนคาดว่าจะสามารถนำพันธบัตรที่ออกโดยกองทุนพัฒนาสถาบันการเงิน
(FIDF : Financial Institutions Development Fund) เข้ามาทำการซื้อขายพร้อมทั้งหุ้นกู้ประเภทคืนเงินต้นทุก
6 เดือน หรือ Amortizing Debenture
"ขณะนี้เราอยู่ระหว่างการทดสอบโปรแกรม เพราะตราสารประเภทนี้ใช้ระบบ
Bonds net ไม่ได้ เนื่องจากมีการจ่ายคืนเงินต้นทุก 6 เดือน ดังนั้นปัญหาคือ
เราไม่สามารถอนุญาตให้ทำการซื้อขายได้ทันที เพราะในระบบ Bonds net จะสามารถคำนวณออกมาได้เฉพาะ
Clean price และ Dirty price เท่านั้น ซึ่งในช่วงเริ่มต้นเราให้ความสำคัญกับ
Straight bond มากกว่า ดังนั้นเมื่อบอนด์ประเภทนี้เกิดขึ้นเราจึงไม่สามารถคำนวณหาความสัมพันธ์ของราคาได้
ตอนนี้โปรแกรมของเราพร้อมที่จะทดลองแล้ว และคิดว่าจะใช้ได้กับตราสารทั้งแบบ
Step up / down bond" สมจินต์ ให้รายละเอียด
เนื่องจากโครงสร้างของตราสารหนี้เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น
BDC จึงมีนโยบายที่จะพัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อนำมารองรับ ซึ่งคาดว่าจนถึงปลายปีนี้
BDC จะมีโปรแกรมหลัก ๆ 3 โปรแกรม สำหรับตราสาร 3 กลุ่ม ซึ่งได้แก่ โปรแกรมที่ใช้ในตลาดทั่วไป
(Regular program) สำหรับตราสารธรรมดา Table of cash flow สำหรับตราสารประเภท
Amortizing debenture หรือ Step up / down Debenture และโปรแกรมการซื้อ-ขายตามราคา
(trading by prices) โปรแกรมนี้จะใช้ในกรณีทั้ง 2 โปรแกรม ไม่สามารถรองรับตราสารพิเศษบางชนิดได้
นอกจากนี้ ทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังมีนโยบายที่จะผลักดันให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล บริษัทประกัน และสถาบันการเงินต่าง
ๆ ให้สามารถเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ได้
ขณะเดียวกัน BDC ก็กำลังอยู่ในระหว่างร่างข้อเสนอและโครงสร้างของตลาดซื้อคืน
(Repurchase Market) ปัจจุบันไทยมีตลาดซื้อคืนพันธบัตรเพียงแห่งเดียว คือ
ที่ธปท. ซึ่งจะมีการซื้อขายวันละ 2 ครั้งในรูปแบบของการประมูล ซึ่งหากตลาดนี้เกิดขึ้นได้สำเร็จจะทำให้ตลาดตราสารหนี้มีสภาพคล่อง
และสามารถดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนได้มากขึ้น
ในเรื่องของภาษี ปัจจุบันตลาดตราสารหนี้ของไทยได้ยกเว้นการจัดเก็บภาษี
Capital gain แต่นักลงทุนจะต้องจ่ายภาษีดอกเบี้ย (Interest tax) โดยนักลงทุนไทยประเภทบุคคลจะต้องจ่ายภาษีหัก
ณ ที่จ่าย 15% ในกรณีที่ราคาตราสารหนี้มีราคาต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว นักลงทุนจะถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บ
Discount tax เพราะถือว่าเป็นดอกเบี้ยประเภทหนึ่ง ดังนั้นนักลงทุนจะต้องจ่ายภาษีหัก
ณ ที่จ่ายอีก 15% แต่นักลงทุนไทยประเภทสถาบันจะจ่ายเฉพาะภาษีนิติบุคคล 30%
ในตอนปลายปี และอีก 3% สำหรับภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับสถาบันการเงิน
ในกรณีของนักลงทุนต่างประเทศ นักลงทุนประเภทบุคคลจะต้องจ่ายเหมือนกับนักลงทุนไทย
ส่วนนักลงทุนสถาบันจะต้องจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15 หรือ 10% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอนุสัญญาภาษีซ้อน
ซึ่งปัจจุบันนี้มีกว่า 20 ประเทศ
"ด้านปัญหาการขาดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ขณะนี้กระทรวงการคลังพยายามที่จะแก้ไข
ก.ม.ให้กระทรวงการคลังสามารถออกบอนด์ได้แม้ว่างบประมาณจะสมดุล โดยออกได้
10% ของงบประมาณ และเงินที่ระดมมาได้จะนำไปปล่อยกู้แก่รัฐวิสาหกิจที่ต้องการใช้เงิน
ซึ่งหากเป็นไหได้ก็จะทำให้เกิดอัตราอ้างอิงมาตรฐานขึ้นได้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำมาใช้ได้ในปลายปี"
สมจินต์ ให้ความหวัง
การปรับปรุงประสิทธิภาพในการชำระเงินและส่งมอบหลักทรัพย์ (Clearing &
Settlement) ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ BDC จะต้องทำการพัฒนาให้ดีขึ้น ซึ่งสมจินต์ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุด
เพราะจะต้องคำนึงถึงทุกฝ่าย ปัจจุบัน BDC ใช้ระบบ T+2 ซึ่งค่อนข้างช้าในกรณีที่มีความต้องการใช้เงินเร่งด่วน
ซึ่งปัจจุบันระบบของ BDC ยังไม่สามารถทำได้เร็วกว่านี้ ณ ขณะนี้ ทั้งธปท.ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
และ BDC กำลังร่วมกันทำงานเพื่อที่จะพัฒนาให้ระบบนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจุบัน ธุรกรรมที่เกิดขึ้นในตลาด จะมีทั้งที่เป็นแบบ Dealing Transaction
ซึ่งเป็นการซื้อ-ขายกันโดยตรงระหว่างดีลเลอร์ที่เป็นสมาชิก BDC และ Crossing
Transaction ที่เป็นการซื้อ-ขายระหว่างสมาชิกกับนักลงทุนที่มิใช่สมาชิก มิใช่การซื้อขายผ่านระบบ
Bondnet ของ BDC เพียงแต่มีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบของ BDC เท่านั้น จากสถิติตัวเลขในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ธุรกรรมแบบ Crossing Transaction มีมูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกรรมแบบ
Dealing Transaction มีมูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมที่มีมูลค่า
18,000 ล้านบาท และ 12,000 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งนั่นหมายความว่าธุรกรรมทั้งสองประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อย
ๆ ในอนาคต (ดูตารางมูลค่าการซื้อขายใน BDC)
นอกจากนี้ ส่วนต่างระหว่างราคาการเสนอขาย-ซื้อ (Bid-Offer Spread) ของตราสารหนี้ที่มีการซื้อ-ขายสูงสุด
10 อันดับแรก ยังสามารถบ่งบอกได้ว่าตลาดเริ่มมีสภาพคล่องมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยส่วนต่างได้ปรับตัวลดลงมาเรื่อย ๆ จากระดับประมาณ 0.1% ลดลงเหลือประมาณ
0.05 %