|
"BTS"ยันหนี้สินล้นพ้นตัว-ทุนติดลบกว่า6พันล.
ผู้จัดการรายวัน(23 พฤษภาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ผู้บริหาร "บีทีเอส" ยืนยันส่วนทุนติดลบกว่า 6 พันล้านบาท และต้องลงทุนซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มในโครงการส่วนต่อขยาย เผยขณะนี้บริษัทกำลังเข้าสู่ภาวะที่ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยจ่ายได้ เนื่องจากภาระดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับรายได้รับวันละ 7 ล้านบาท และก่อให้เกิดภาระหนี้สินล้นพ้นตัว จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ด้านศาลล้มละลายกลางนัดไต่สวนพยานเจ้าหนี้เพิ่มเติมอีก 29 พ.ค.นี้
วานนี้ (22 พ.ค.) ศาลล้มละลายกลางได้นัดไต่สวนพยานนัดแรกตามคำร้องฟื้นฟูกิจการบริษัท รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส ของนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท หลังจากกองทุน เอเวนิว เอเชีย ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ซื้อหนี้จาก KFW และ IFC คิดเป็น 125 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 10% ของมูลหนี้รวม ได้ยื่นคัดค้านคำร้องโดยระบุว่าบีทีเอสไม่ได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เนื่องจากมีการโยกรายการหุ้นกู้ด้อยสิทธิแปลงสภาพจากเดิมที่บันทึกในรายการทุนมาอยู่รายการหนี้สิน ทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้น
ในการไต่สวนพยานผู้ยื่นคำร้อง ประกอบด้วย นายสุรพงษ์ เลาหอัญญา กรรมการรองผู้จัดการใหญ่สายปฏิบัติการ บีทีเอส กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเข้าสู่ภาวะที่ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยจ่ายได้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมวันละ 5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 7 ล้านบาท เท่ากับรายได้ของบีทีเอสวันละ 7 ล้านบาท แต่บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาทิ เงินเดือนพนักงาน ทำให้บริษัทฯไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ จึงต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ
"เรายืนยันว่าบีทีเอสมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเป็นต้องเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ แม้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ตาม แต่เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทผิดนัดชำระหนี้ และเจ้าหนี้ยังไม่เคยฟ้องดำเนินคดีกับบริษัท แต่เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกชำระหนี้รวมกับคิดค่าชดเชยได้ เมื่อบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้ก็นำไปสู่การฟ้องร้องล้มละลาย ขณะนี้บริษัทหนี้สินรวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และทรัพย์สินประมาณ 4.2 หมื่นกว่าล้านบาท ทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบประมาณ 6 พันกว่าล้านบาท"
นอกจากนี้ บริษัทยังมีความจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าจากสถานีตากสิน-วงเวียนใหญ่ ระยะทาง 2 กม. ที่กรุงเทพมหานครได้ลงทุนในระบบรางไปแล้ว และในวันที่ 24 พ.ค.นี้ ทางสภากทม.จะพิจารณาส่วนต่อขยายจากอ่อนนุช-แบร์ริ่ง ระยะทาง 5 กม. คาดว่าบริษัทฯจะต้องใช้เงินลงทุนในซื้อขบวนประมาณ 6-7พันล้านบาทในโครงการส่งต่อขยายหลายโครงการ ซึ่งซีเมนส์ได้แสดงความกังวลว่า บริษัทฯจะไม่มีเงินชำระค่ารถไฟฟ้าหากตัดสินใจขายรถไฟฟ้าให้ จนกว่าบริษัทฯจะปรับโครงสร้างหนี้ได้ ขณะที่บริษัทฯมีเงินฝากธนาคารประมาณ 1 พันล้านบาท ที่เจ้าหนี้ยินยอมให้บีทีเอสสามารถนำไปใช้ลงทุน โดยไม่ได้นำไปชำระดอกเบี้ยจ่าย
ก่อนหน้านี้ บีทีเอสได้มีการเจรจาประนอมหนี้นอกศาลมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2543 โดยได้มีการขอลดหนี้เงินต้น และดอกเบี้ยค้างชำระบางส่วน โดยช่วงแรกบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยได้ แต่หลังจากที่บีทีเอสมีรายได้เพิ่มขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายลดลง จึงได้มีการชำระดอกเบี้ย แต่ขณะนี้บริษัทฯกำลังเข้าสู่ภาวะไม่สามารถชำระดอกเบี้ยจ่ายแล้วหากไม่เร่งดำเนินการบริษัทฯจะยิ่งประสบปัญหามากขึ้น
ทั้งนี้ ทนายความฝ่ายเจ้าหนี้ได้ซักถามถึงความจำเป็นในการขอฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งประเด็นการนำหุ้นกู้ด้อยสิทธิแปลงสภาพ 2.7 พันล้านบาทที่จากเดิมได้ลงบัญชีในงบดุลในรายการส่วนของผู้ถือหุ้น และได้ย้ายมาอยู่ในส่วนของหนี้สิน รวมทั้งการแต่งตั้งกรรมการใหม่เพิ่มเติมหลังจากที่ปลดนายเกษม จาติกวนิช ออกจากประธานกรรมการ โดยมีการจดทะเบียนกรรมการใหม่ต่อกระทรวงพาณิชย์ในวันรุ่งขึ้นหลังจากประชุมผู้ถือหุ้นวิสามัญในวันที่ 16 ก.พ. 2549 พร้อมทั้งลดจำนวนกรรมการที่เข้ามาเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูจากเดิม 10 คนเหลือเพียง 4 คน โดยมีตัวแทนจากนิว เวิลด์ร่วมด้วย แสดงให้เห็นว่าได้มีการวางแผนที่จะนำบีทีเอสเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2548 แล้ว
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงการบันทึกรายการหุ้นกู้แปลงสภาพที่เปลี่ยนจากบันทึกในส่วนผู้ถือหุ้นมาอยู่ในรายการหนี้สินนั้น เนื่องจากบริษัทฯเห็นว่าเจ้าหนี้คงไม่ใช้สิทธิในการแปลงหนี้เป็นทุน เนื่องจากปัจจุบันส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ โอกาสที่เจ้าหนี้ต้องการรับชำระหนี้เป็นเงินสดจึงมีความเป็นไปได้มากกว่า
ส่วนกรณีที่ว่าจ้างบริษัทประเมินทรัพย์สินเองนั้น เพื่อต้องการให้สะท้อนข้อเท็จจริงในปัจจุบัน เพราะเกรงว่าถ้าบริษัทฯไม่ดำเนินการจะเข้าข่ายว่าตกแต่งตัวเลข โดยว่าจ้างบริษัทอเมริกัน แอ๊บเพอซัล ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่เจ้าหนี้เคยว่าจ้างให้ประเมินทรัพย์สินบีทีเอส ซึ่งผลประเมินทรัพย์สินล่าสุดลดลงไป 6 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามหากไม่มีรายการหนี้ บีทีเอสก็มีส่วนทุนติดลบอยู่อีก เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทไม่เคยตัดค่าเสื่อมรถไฟฟ้าเลยตลอด 6-7 ปี
นายวิสุทธิ์ อุดมปิติทรัพย์ ผู้จัดการส่วนการเงิน บีทีเอส กล่าวว่า ส่วนต่อขยายจากสถานีตากสินไปวงเวียนใหญ่อีก 2 กม.นั้น อาจจะเพิ่มตู้เปล่ารถไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มรถไฟฟ้าก็ได้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เนื่องจากปัจจุบันบีทีเอสมีรถไฟฟ้า 35 ขบวนๆละ 3 ตู้ โดยวิ่งในแต่ละวัน 30-32 ขบวน
ด้านตัวแทนบริษัท เอินส์แอนด์ยัง ในฐานะผู้ตรวจสอบบัญชีบีทีเอส กล่าวว่า ในการตรวจสอบบัญชีของบีทีเอส ทางเอินส์แอนด์ยังไม่ได้แสดงความเห็นในงบการเงินบีทีเอส เนื่องจากสถานการณ์หนี้สินมีความไม่แน่นอน ดังนั้นผู้ใช้งบจำเป็นต้องใช้วิจารณญานเอง
ส่วนการบันทึกหุ้นกู้แปลงสภาพจากเดิมในอยู่ในส่วนทุนมาเป็นหนี้สินนั้นจะ ผิดมาตรฐานการบัญชีหรือไม่นั้น คงต้องพิจารณาจากเนื้อหาเป็นหลัก เพราะบางครั้งรายการที่พิจารณาอาจมีความไม่แน่นอน เช่นหุ้นกู้ ที่มีองค์ประกอบว่าจะเป็นทุนหรือหนี้สินก็ได้ ซึ่งได้รับการอธิบายจากบริษัทบีทีเอสถึงเหตุผลที่บันทึกรายการหุ้นกู้แปลงสภาพอยู่ในรายการหนี้สินว่า โอกาสที่หุ้นกู้ดังกล่าวจะถูกเรียกชำระเป็นเงินสดมากกว่าจะแปลงเป็นหุ้น
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 29 พ.ค. ศาลล้มละลายกลางจะนัดไต่สวนในส่วนของพยานเจ้าหนี้อีก 4 ปาก หลังจากนั้นศาลจะพิจารณาว่าจะบีทีเอสเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการหรือไม่
ปัจจุบันบีทีเอสมีหนี้ที่ต้องเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้ 3.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สกุลบาท 1.2 หมื่นล้านบาท และหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นเจ้าหนี้หลักในการปล่อยกู้ซินดิเคทโลน ล่าสุดธนาคารไทยพาณิชย์ได้แจ้งบริษัทว่าจะมีการขายหนี้ดังกล่าวออกไป ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นบีทีเอส ประกอบด้วยนายคีรี กาญจนพาสน์ 28% กลุ่มนิวเวิลด์ 20% ADM 10% เป็นต้น
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|