"นอนแบงก์"แทรกพื้นที่บัตรเครดิต"โอเค-เซทเทเลม"เลี่ยงชนแบงก์-ตีโอบภูธร


ผู้จัดการรายสัปดาห์(22 พฤษภาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

"นอนแบงก์" เปิดฉากรุกธุรกิจบัตรเครดิต "แคปปิคอล โอเค-เซทเทเลม" ปูพรมพื้นที่ภูธร หลบเลี่ยงการปะทะกับแบงก์พาณิชย์ ที่ได้เปรียบในด้านพละกำลัง จนครอบครองอาณาบริเวณใจกลางเมืองหลวง เดินหมากแทรกซึมเนื้อเค้กบัตรเครดิต ต่อยอดธุรกิจสินเชื่อบุคคล และธุรกิจเช่าซื้อ เงินผ่อน เพื่อกระจายความเสี่ยง ในช่วงภาวะเศรษฐกิจยังอึมครึม ออกสารพัดโปรโมชั่นเป็นแม่เหล็กดูดกำลังซื้อ งัดข้อยุคมนุษย์เงินเดือนตัวเบา กระเป๋าแฟ่บ หนี้ภาคครัวเรือนทะยาน บวกกับความสามารถชำระหนี้หล่นวูบ

ผู้ให้บริการสินเชื่อนอนแบงก์(สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์)คลื่นลูกใหม่อย่างแคปปิตอล โอเคและเซทเทเลมได้เริ่มส่งสัญญาณในการปรับทิศทางและแผนงานการดำเนินธุรกิจให้หนักขึ้นแล้ว โดยมีการโหมรุกตลาดบัตรเครดิต ควบคู่ไปกับการเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่โดยเน้นไปที่กลุ่มรากหญ้าในต่างจังหวัดให้มากขึ้น จากปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อจะมีสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อเช่าซื้อเป็นตัวยืนพื้น และมีสัดส่วนลูกค้าตามพื้นที่ กรุงเทพต่อต่างจังหวัดแยกเป็น 40 ต่อ 60

แคปปิตอล โอเค ซึ่งเคยเน้นสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นสินค้าหลัก ได้เริ่มประกาศแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 500 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้มีทุนจดทะเบียนรวม 3 พันล้านบาท เพื่อให้เพียงพอต่อการขยายสินเชื่อจนถึงสิ้นปีนี้

ซึ่งมีเป้าหมาย1.2-1.4 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมีฐานสินเชื่ออยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท โดยโฟกัสไปที่ลูกค้าบัตรเครดิต ธุรกิจใหม่ที่ต่อยอดมาจากสินเชื่อหลักมากขึ้น

นอกจากนั้น ยังมีการเปิดสาขาใหม่ในต่างจังหวัดอีก 4-6 แห่งในปีนี้ จากเดิมที่มีอยู่ 10 แห่ง พร้อมกับมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2 ตัวคือ "สินเชื่อไลท์โลน" ซึ่งเป็นสินเชื่อเงินสดหมุนเวียน ที่ลูกค้าได้รับวงเงินแล้วจะสามารถเบิกผ่านทางโทรศัพท์ได้ตลอด 24 ชม. รวมถึง "บัตรเครดิต โอเค แพลตตินัม" ซึ่งมีวงเงินกู้ เงินผ่อน และบัตรเครดิตในใบเดียว

ในฝั่งของ เซทเทเลม ก็ไม่ต่างกันนัก เดิมทีค่ายนี้ก็เน้นสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก พร้อมกับตั้งเป้าว่าปีนี้จะสามารถขยายสินเชื่อได้อีก 6 พันล้านบาท จากตัวเลข 3.5 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา และมีนโยบายเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารวมถึงสาขาในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเน้นช่องทางขยายตลาดควบคู่ไปกับดิสเคาท์สโตร์โดยเฉพาะพันธมิตรบิ๊กซี

นอกจากนั้น ยังมีเป้าหมายที่จะรุกตลาดบัตรสินเชื่อเงินผ่อนและบัตรเครดิตมากขึ้น ก่อนจะก้าวเข้าไปลุยตลาดสินเชื่อเช่าซื้อประเภทรถจักรยานยนต์และรถยนต์ภายในสิ้นปีนี้อีกด้วย

การเปิดตัว 6 ปี สำหรับเซทเทเลม ในตลาดเมืองไทย อาจจะไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทั้งๆที่มีการให้บริการในรูปแบบต่างๆหลากหลายไม่ต่างจากนอนแบงก์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อผ่อนชำระ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล

อย่างไรก็ตาม บัตรเครดิตเซทเทเลม ซึ่งเป็นบริการใหม่อีกประเภทหนึ่ง ก็ยังจำกัดวงเฉพาะลูกค้าค่ายพันธมิตร เป็นบัตรเครดิตประเภทออกโดยพันธมิตร ภายใต้แบรนด์ร้านค้าให้กับลูกค้า อาทิ บิ๊กซีการ์ด บัตรออร่าดาต้าไอที หรือ บัตรออร่าโฟโต้ ฮัท ฯลฯ

ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายของกลุ่มนอนแบงก์จึงต่างไปจากลูกค้าสถาบันการเงินอย่างแบงก์พาณิชย์อย่างสิ้นเชิง ฐานลูกค้ามีทุกกลุ่ม ตั้งแต่รายได้ขั้นต่ำ ไปจนถึงบัตรแพลทินั่ม ส่วนนอนแบงก์ส่วนใหญ่จะเลือกเกาะกลุ่มลูกค้าที่มีอยู่ในมือ รวมถึงฐานลูกค้าของค่ายพันธมิตร ที่มีพื้นที่ค่อนข้าง ที่สำคัญกลุ่มนี้มักจะกระจายตัวอยู่ในตลาดต่างจังหวัด ส่วนใจกลางเมืองหลวงธุรกิจบัตรเครดิตจะถูกยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่โดยแบงก์

ขณะที่ตลาดภูมิภาคยังถือว่าเป็นช่องว่างทางการตลาดที่กว้างพอจะเข้าไปเล่นได้อีก จำนวนผู้ใช้สินเชื่อทั้งหมดเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดแล้ว ยังนับว่าไม่หนาแน่นนักโดยเฉพาะจำนวนผู้ถือบัตรเครดิตซึ่งนับว่ามีฐานลูกค้าที่เล็กมาก

เนื่องจากสถาบันการเงินยังไม่สามารถเข้าถึงภูมิภาคได้อย่างเต็มที่ แตกต่างกับในกทม.ที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนชั้นกลางและตลาดเริ่มใกล้ที่จะอิ่มตัว มีอัตราการขยายตัวไม่มาก จากการแข่งขันในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บวกกับถูกคุมเข้มจากแบงก์ชาติ

การต่อยอดธุรกิจในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสร้างรายได้โดยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ให้ได้ดีและลึกขึ้น แต่ละคนอาจจะใช้บริการสินเชื่อมากกว่า 1 ชนิดแล้วยังถือเป็นการกระจายความเสี่ยงผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ต่างประเภทกันไป

เป็นการผ่าทางตันหากตลาดใดตลาดหนึ่งเริ่มจะอิ่มตัว ก็สามารถข้ามไปเร่งอีกตลาดหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นทิศทางที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมซึ่งเคยมองรายได้ต่อหน่วยเป็นหลัก ไปสู่การมองที่รายได้รวมที่เพิ่มขึ้นแทน นอกจากนั้นการขยายตัวยังทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด(Economy of scale) เป็นผลพลอยได้ตามมาอีกด้วย

ภายใต้แผนการรุกหัวหาดด้วยบัตรเครดิตครั้งนี้ได้มีความพยายามจูงใจลูกค้าด้วยสารพัดสิทธิประโยชน์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น 0%ในช่วง 3เดือนแรก, ลดต้นลดดอก, อนุมัติทันใจ ฯลฯ เพื่อให้มีความโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นในสายตาผู้บริโภค และเป็นการกระตุ้นยอดการใช้จ่ายไปในตัว

แต่หากสังเกตแล้วจะไม่พบว่ามีการยื่นข้อเสนอตัดราคาดอกเบี้ยกันขึ้นในสนามการแข่งขันของนอนแบงก์เลยต่างกับกลุ่มแบงก์ เนื่องจากกลุ่มรากหญ้านอนแบงก์มีความเสี่ยงในการปล่อยกู้สูง ฉะนั้นดอกเบี้ยจึงต้องสูงตามโดยทุกรายจะติดในอัตราเพดานที่ 18% ขณะที่สินเชื่อบุคคลจะอยู่ในอัตราเพดานเช่นกันที่ 28%

นับเป็นช่วงจังหวะการเร่งขยายตัวของนอนแบงก์คลื่นลูกใหม่ซึ่งมีฐานเงินทุนแข็งแกร่ง ก้าวทันตลาดบัตรเครดิตกลุ่มแบงก์ซึ่งเป็นคู่แข่งทางอ้อม

ขณะเดียวกันก็เป็นก้าวย่างสำคัญที่จะขึ้นมายืนอยู่ในแถวหน้าของตลาดนอนแบงก์ซึ่งเป็นคู่แข่งทางตรง หวังเบียด อีซี่บาย เป็นผู้ครองส่วนแบ่งสูงสุดในขณะนี้ เนื่องจากเข้ามาเริ่มต้นบุกเบิกตลาดก่อนแต่ไม่มีสินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่ง อีซี่บาย ก็ยืนยันที่จะไม่ลงไปเล่นเกมส์บัตรเครดิตตาม และได้ชิ่งหนีโดยการประกาศนโยบายล่าสุดที่จะเขยิบขึ้นไปสู่การทำธุรกิจเช่าซื้อและสินเชื่อบุคคลกับลูกค้าระดับกลางมากขึ้น

นอกจากนี้แม้จะเป็นการเริ่มต้นรุกบัตรเครดิตในต่างจังหวัด แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นการทิ้งห่างผู้ประกอบการสินเชื่อรายเล็กในท้องถิ่นจังหวัดนั้นๆที่มีจุดแข็งข้อได้เปรียบจากความใกล้ชิดและมีฐานกลุ่มลูกค้าที่เหนียวแน่นก่อนแล้วไปในครั้งเดียวกัน ด้วยจุดแข็งจากปัจจัยเงินลงทุนที่มีสายป่านหนาและยาวกว่ารวมถึงความสามารถด้านการออกบัตรเครดิต ทำให้สามารถขยายตลาดได้กว้างและไกลกว่า

ส่วนปัจจัยที่จะลืมเสียไม่ได้ ต้องคอยจับตาอย่างระมัดระวังสำหรับกลุ่มสถาบันการเงินไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแบงก์หรือนอนแบงก์ก็คือ แนวโน้มของลูกหนี้ที่เริ่มมีสัญญาณว่าจะไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ให้กับสถาบันการเงินได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดเพิ่มขึ้นบ้างแล้วในขณะนี้

รวมถึงดัชนีที่แสดงให้เห็นว่า หนี้ภาคครัวเรือนมีระดับที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้รายย่อยที่ลดต่ำลงจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบปรับเพิ่มขึ้น

แต่สำหรับทั้ง จามิกร บูรณะนนท์ กรรมการผู้จัดการแคปปิตอล โอเค ,โคลด จินิเยร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซทเทเลม(ประเทศไทย) และ คัทซูฮิโกะ มาโดโนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อีซี่บาย ต่างก็ยืนยันตรงไปในทิศทางเดียวกันว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในเครดิตบูโรยังไม่มีสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกค้าของบริษัทฯจะมีปัญหาในการชำระหนี้ ระดับหนี้สงสัยจะสูญก็ยังคงอยู่ในอัตราปกติคือ3.5%, 9% และ 4% ตามลำดับ ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยรวมที่ 12% แม้จะมีเสียงสะท้อนมากขึ้นบ้างก็ตาม แต่ผลประกอบการของบริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้เพราะการผ่อนสินเชื่อเฉลี่ยต่อรายไม่สูงมากทำให้ลูกค้ายังพอมีความสามารถชำระหนี้ได้และยังสามารถเติบโตได้ในระดับเฉลี่ย 20%อีกด้วยภายใต้ภาวะกำลังซื้อหดเนื่องจากตลาดยังไม่อิ่มตัว อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา ต่างบริษัทก็ต่างมีวิธีตรวจสอบและพิจารณาก่อนให้สินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น

ตลอดช่วงเวลาที่ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อขยับตัวอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการโดยเฉพาะนอนแบงก์อาจจะมีทางออก หรือลู่ทางทำรายได้ จากการขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดในตลาดใหม่ๆ ในขณะที่ผู้บริโภคหรือลูกค้านอนแบงก์เหล่านี้แทบจะมองไม่เห็นทางออก....


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.