เวนดิ้ง แมชชีน VS ค้าปลีกสองธุรกิจสำคัญในอนาคต

โดย ศิริรัตน์ ภัตตาตั้ง
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

ธุรกิจจำหน่ายสินค้าผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ หรือ เวนดิ้งแมชชีน (VENDING MACHINE) ของบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นขึ้นในปี 2535 ด้วยการนำตู้ขายสินค้ายี่ห้อ ฟูจิ อิเลคทริคเข้ามาจำหน่ายซึ่งถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายแรกที่กล้าบุกเข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างจริงจัง

โดยมีการนำเข้าตู้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ประเภทแรก คือ ตู้จำหน่ายเครื่องดื่มชนิดผสม ซึ่งเครื่องจะผสมเครื่องดื่มต่าง ๆ ตามที่ผู้ซื้อเลือก เช่น น้ำอัดลม กาแฟร้อน กาแฟเย็น ชาร้อน ประเภทที่สอง คือ ตู้จำหน่ายเครื่องดื่มที่มีบรรจุภัณฑ์เรียบร้อย เช่น น้ำผลไม้กระป๋อง น้ำอัดลมกระป๋อง นม และเครื่องดื่มชนิดกล่อง ประเภทที่สาม คือ ตู้จำหน่ายขนมขบเคี้ยว

ช่วงที่ผ่านมา ICC ถือว่ารุกเงียบ และเก็บกินส่วนแบ่งตลาดเพียงรายเดียว แต่ด้วยอัตราเติบโตของตลาดปีละ 100% จากแนวโน้มการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ที่ต้องการความสะดวก และรวดเร็ว จึงดึงดูดให้หลายบริษัทให้ความสนใจในธุรกิจนี้ ในช่วงปี 2538 เป็นต้นมา จึงมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ธุรกิจนี้อีกหลายราย ซึ่งได้แก่ บริษัท รอยัล เวนดิ้ง แมชชีนส์ ผู้แทนจำหน่ายตู้ยี่ห้อ โกลสตาร์ บริษัทไทย-โบนันซ่า และรายเล็ก ๆ อีกหลายแห่ง เช่น บริษัทบางกอกเวนดิ้ง บริษัทยินเพรซิเด้นท์ ส่งผลให้ธุรกิจนี้เริ่มมีสีสันแห่งการแข่งขันขึ้นมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในฐานะของผู้ประกอบการรายเก่า ICC ย่อมไม่ยอมถูกลูบคมง่าย ๆ ดร.สำราญ ภูอนันตานนท์ กรรมการรองผู้จัดการ ICC เผยว่า หัวใจของการแข่งขันอยู่ที่การบริการ ทั้งในด้านติดตั้งเครื่อง และการมีสินค้าที่เพียงพอและไม่ขาดสต็อก ซึ่ง ICC มีแผนจะเพิ่มพนักงานขายจำนวนมากและวางตู้ให้ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งเชื่อว่าจะสู้กับการแข่งขันที่เกิดขึ้นได้

รวมทั้งยังได้เปรียบในแง่ที่รู้ลู่ทางธุรกิจเป็นอย่างดี และในระยะยาว ICC จะผลิตตู้เอง ย่อมทำให้ต้นทุนต่ำลง

แต่ปัญหาของการทำธุรกิจก็ยังมี ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคยุ่งยากในการหาเหรียญเพื่อหยอดตู้ซื้อสินค้าแล้ว ก็ยังได้แก่การทำลายเครื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง เพราะคนไทยบางส่วนยังไม่ยอมรับกับความทันสมัยเหล่านี้ เช่นเดียวกับที่มีการทุบตู้โทรศัพท์บ่อย ๆ นั่นเอง

สำหรับธุรกิจค้าปลีก ICC ยังไม่ได้ลงทุนอย่างจริงจังเท่าใดนัก แต่ก็ให้ความสนใจตลอดมา โดยเข้าไปถือหุ้นในห้างสรรพสินค้าอิเซตัน และเยาฮันในสัดส่วน 3% และ 4% ตามลำดับ และล่าสุดได้เข้าลงทุน 10% ในร้านแฟร์รี่แลนด์เมื่อต้นปีนี้

นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าประเภท "แคชแอนด์แคร์รี่แอนด์คอนวีเนียนสโตร์" ภายใต้ชื่อ "ซีซีซี" ปัจจุบันมี 2 สาขา คือ ที่อ้อมน้อย และพระราม 3 แต่มีแผนจะขยายอีกในปีนี้

การที่ ICC ให้ความสนใจในธุรกิจค้าปลีก แรงผลักดันส่วนหนึ่งอาจมาจากความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ จากการวางจำหน่ายสินค้าประเภทเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าบางแห่ง ซึ่งรุนแรงถึงขนาดที่ ICC ไม่ยอมส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้านั้น

ในปี 2538 เริ่มรุกธุรกิจนี้ ด้วยการประกาศตัวร่วมทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าเพื่อผลิตสินค้า "HOUSE BRAND" ให้กับห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ โดยรูปแบบการลงทุนจะเป็นลักษณะที่ ICC ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาและบริษัทนั้นจะเข้าร่วมลงทุนกับห้างสรรพสินค้า โดยถือหุ้นกันฝ่ายละ 50% โดยจะผลิตสินค้าป้อนให้กับห้างสรรพสินค้านั้น ๆ โดยเฉพาะ

บริษัทแรก และบริษัทเดียวที่ ICC ดำเนินในขณะนั้นก็คือ บริษัท เอ็มไอซี (MIC) จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดยเป็นการร่วมกับกลุ่มเดอะมอลล์ เพื่อผลิตเสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องสำอาง ภายใต้ยี่ห้อ "MONE" ให้กับห้างเดอะมอลล์ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านกระจายสินค้าแล้ว ยังทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดกลางถึงล่าง จากเดิมที่จำกัดอยู่เพียงตลาดกลางถึงบน

การร่วมทุนลักษณะนี้ จึงนับเป็นการรุกอีกก้าวสู่ธุรกิจค้าปลีก

แต่เหตุที่ยังไม่รุกในธุรกิจค้าปลีกอย่างเต็มตัวเพราะว่ายังไม่พร้อมทั้งในเรื่องบุคลากรและความเชี่ยวชาญ บุญเกียรติ โชควัฒนา ชี้แจงว่า

"เราคงไม่โดดไปทำอย่างพรวดพราด เพราะยังไม่มีประสบการณ์ และธุรกิจนี้ไม่ใช่ว่าใครเข้ามาทำก็สำเร็จ จะสำเร็จได้ต้องมีกำลังคน กำลังเงิน และนโยบายที่ดี" และรวมไปถึงพันธมิตรที่ดีด้วยนั่นเอง

แม้เขาจะยังไม่ระบุถึงตัวพันธมิตรว่าจะเป็นใคร เพียงกล่าวกว้าง ๆ ว่าพันธมิตรต้องมีคุณธรรม มีมาตรฐาน และมีสัจธรรม ทว่าก็คงมีชื่อของ "กลุ่มเดอะมอลล์" ในลำดับต้น ๆ อย่างแน่นอน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.