นั่นเป็นคำกล่าวอย่างหนักแน่นของวีระเกียรติ ลีลาประชากุล รองกรรมการผู้จัดการ
บริษัทไทย-เยอรมัน โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TG Pro ที่ตั้งเป้าในการขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์สแตนเลสไปยังตลาดต่างประเทศให้ได้
50% ของกำลังการผลิตรวม ซึ่งขณะนี้สามารถส่งออกได้เพียง 20% ของกำลังการผลิตเท่านั้นที่เหลือ
80% คือ การจำหน่ายในประเทศ
วีระเกียรติ ได้พูดถึงตลาดส่งออกที่จะขยายเพิ่มว่า จะส่งออกให้ครอบคลุมตลาดในย่านภูมิภาคเอเชีย
โดยเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ก็ยังมีตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป
เขากล่าวว่า "เราแบ่งตลาดส่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ อเมริกา 50% ยุโรป
25% เอเชีย 25%"
สาเหตุที่วีระเกียรติ ต้องการที่จะขยายตลาดส่งออกมากยิ่งขึ้นนั้น เพื่อเป็นการรองรับการเกิดของเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟต้า
ซึ่งปัจจุบันตลาดอาเซียนมีการผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทท่อสแตนเลสน้อยมาก และมีคู่แข่งที่สำคัญอยู่แค่ประเทศญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียว
ดังนั้น เราจึงสร้างตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น เนื่องจากกลุ่มประเทศอย่างอินโดนีเซีย
ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย ยังไม่สามารถผลิตสแตนเลสขนาดเดียวกับที่ประเทศไทยผลิตได้
ดังนั้น ไทยยังเป็นผู้นำในการผลิตสินค้าเหล่านี้ทั้งคุณภาพและราคา
โดยในช่วงแรกบริษัทจะนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายยังประเทศอินโดนีเซีย และสิงคโปร์
ซึ่งจะมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายภายในสิ้นปีนี้ ส่วนประเทศมาเลเซียอยู่ระหว่างการเจรจา
สำหรับประเทศจีนที่หลาย ๆ คนเป็นห่วงว่า จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญในการผลิตอุตสาหกรรมสแตนเลสประเภทเดียวกันนี้
วีระเกียรติ บอกว่า เขามองต่างจากคนอื่น ด้วยเหตุที่ผลิตภัณฑ์ที่จีนผลิตได้ยังเป็นสินค้าประเภทแมส
โพรดักส์ ที่ไม่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูงมากนัก ประกอบกับเป็นการผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศมากกว่าที่จะส่งออก
"ถ้าจะพิจารณากันจริง ๆ แล้วผมว่าในอุตสาหกรรมนี้ จีนน่าจะใช้เวลาอย่างน้อย
8-10 ปีกว่าที่จะพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตให้สูงกว่าที่เป็นอยู่และมีปริมาณมากพอที่จะส่งออกได้
ปัญหาอีกอย่าง คือ เรื่องการขนส่งที่จีนค่อนข้างมีปัญหาเพราะระบบสาธารณูปโภคของเขายังไม่สมบูรณ์
ระบบการขนส่งยังไม่รวดเร็วเท่าที่ควร"
ทางด้านกำลังผลิตวีระเกียรติบอกว่า ในปัจจุบันนี้อยู่ที่ 9,600 ตันต่อปี
และคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเต็มที่ถึง 39,000 ตันต่อปีภายใน 3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการลงทุนของโครงการระยะที่ 2
ซึ่งจะเป็นการผลิตท่อรีดลดขนาด และอุปกรณ์สแตนเลส เพื่อป้อนอุตสาหกรรมรถยนต์
เพื่อใช้ในการผลิตหัวฉีดและท่อไอเสีย โดยมีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,228
ล้านบาท
ซึ่งบริษัทจะใช้แหล่งเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารและสถาบันการเงินจำนวน 943
ล้านบาท และเงินสดจากการดำเนินงาน 285 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้
และจะสรุปผลได้ประมาณเดือนหน้านี้
ทางด้านแหล่งเงินทุนของบริษัทนั้น นอกจากจะได้มาจากเงินหมุนเวียนของบริษัทแล้วยังมาจากการระดมทุนในตลาดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ซึ่งได้ระดมทุนไปเพียง 2 ครั้ง และล่าสุดได้ออกหุ้นกู้ชนิดไม่มีหลักประกัน
และไม่ด้อยสิทธิ ซึ่งหุ้นกู้ชนิดไม่มีหลักประกัน และไม่ด้อยสิทธิ ซึ่งหุ้นกู้ดังกล่าวฉบับละ
1,000 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 600 ล้านบาท ระยะเวลาไถ่ถอน 5 ปี โดยจะทำการจำหน่ายให้แก่บุคคลในวงจำกัด
และมีตลาดรองในชมรมผู้ค้าตราสารหนี้
โดยได้แต่งตั้งให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จีเอฟ, บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
คาเธ่ย์ทรัสต์, และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยรุ่งเรืองทรัสต์ เป็นผุ้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
วีระเกียรติ เล่าต่อไปว่า เงินที่ได้ในครั้งนี้ จะนำไปใช้ในการขยายโรงงานแห่งที่
2 ที่จังหวัดระยอง โดยต้องใช้เงินลงทุนไม่น้อยกว่า 1,300 ล้านบาท ส่วนเงินจำนวนที่ขาดไปอีก
800 ล้านบาท ได้ทำการกู้ยืมมาจากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ส่วนกรณีที่บริษัทถูกจัดอันดับจากบริษัทไทยเรทติ้ง แอนด์ อินโฟร์เมชั่น
หรือทริสให้อยู่ในระดับ BB+ นั้น วีระเกียรติ มองว่า อาจจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปขณะนี้ค่อนข้างซบเซา
"แต่ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใดนัก เพราะหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานและการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว
ให้ BB+ ยังต่ำไปหน่อย เพราะทริสจะมองเรื่องโครงสร้างทางการเงินเป็นหลัก
แต่เรามองเรื่องพื้นฐานทางอุตสาหกรรมด้วย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีผลกับการจำหน่ายหุ้นกู้ที่เราจะออก
เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากภาคอุตสาหกรรม แต่เราก็จะพัฒนาบริษัทให้ดีขึ้นไปเรื่อย
ๆ จนถึง AA ให้ได้"
แม้ว่าไทย-เยอรมัน โปรดักส์ จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เกือบ
2 ปีแต่ภาพของบริษัทก็ยังไม่ทิ้งความเป็นธุรกิจครอบครัว เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหมดยังเป็นคนของตระกูลลีลาประชากุล
วีระเกียรติ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล ได้อรรถาธิบายถึงเรื่องนี้ด้วยสีหน้าจริงจังว่า
ไม่แปลกสำหรับธุรกิจใหญ่ ๆ ในประเทศไทยที่จะเติบโตมาจากตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
แต่ปัจจุบันนี้ ทางบริษัทเองก็ได้ดึงมืออาชีพเข้ามาเป็นจำนวนไม่น้อย ต่อไปภาพของธุรกิจครอบครัวอาจจะเจือจางลงไปได้บ้าง
แต่ไม่ว่าภาพลักษณ์ธุรกิจของบริษัทจะเป็นอย่างไร ผู้บริหารทุกคนก็จะทำงานให้ได้ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้