"แผนการที่จะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีนี้ตามที่วางไว้
คงจะต้องเลื่อนไปก่อน มีสาเหตุหลักสองประการ คือ ภาวะตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโดยรวมไม่สดใสนัก
อีกประการหนึ่ง คือ ผู้ถือหุ้นไม่อนุมัติ ปีนี้แผนงานหลายอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหมายไว้บางแผนต้องเลื่อนไป
ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่"
นั่นคือ คำกล่าวของสว่าง มั่นคงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
ไทยรุ่งเรืองทรัสต์ จำกัด ที่ได้ชี้แจงถึงแผนงานของบริษัทที่มีอันต้องเลื่อนไป
ด้วยเหตุผลของภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยจนมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท
แม้ว่าแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเลื่อนไป แต่สว่างบอกว่า
แผนการเพิ่มทุนยังไม่เปลี่ยน โดยในปีนี้บริษัทจะทำการเพิ่มทุนอีก 200 ล้านบาท
โดยจะเรียกชำระขั้นแรก 50 ล้านบาท ทำให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท
โดยมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 350 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 150 ล้านบาทนั้นจะพิจารณาอีกครั้งว่า
จะเป็นการชำระในลักษณะใด
ด้านผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของบริษัทดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ซึ่งปี 2538 ทั้งปี บริษัทมีผลกำไรทั้งสิ้น 138 ล้านบาท ในขณะที่ครึ่งปี
2539 มีกำไรสุทธิ 110 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สว่างบอกว่าก็ยังถือว่าไม่ได้ตามประมาณการที่กำหนดไว้ว่า
ปีนี้จะมีกำไรสุทธิ 258 ล้านบาท ทำให้ต้องปรับตัวเลขประมาณการลดลง 20%
สำหรับสาเหตุของการดำเนินงานที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนนั้น ส่วนใหญ่มาจากรายได้ของค่าธรรมเนียมในการเป็นแมทช์เมคเกอร์ในการขายแบบบิ๊กล็อต
ซึ่งเป็นรายได้ที่ดีและสูงมาก สว่าง เล่าว่า "เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทมีคู่ค้าที่จะให้เป็นแมทช์
เมคเกอร์อีก 1 ราย นอกจากนี้ การที่กำไรสูงขึ้นก็มาจากรายได้ที่ได้จากทางด้านเงินทุนด้วย"
"รายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นรายได้จากค่าธรรมเนียม ซึ่งเป็นรายได้ที่เพิ่มสูงมาก
เป็นการช่วยลูกค้าในการทำบิ๊กล็อต แต่ทั้งนี้ กำไรโดยรวมก็ยังไม่เข้าเป้าทำให้ต้องปรับประมาณการลดลงจากที่คาดไว้ก็เกือบ
20% เห็นจะได้"
ในส่วนของสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ มียอดรวมทั้งสิ้น 15,000 ล้านบาท
โดยในสิ้นปีนี้ คาดว่ามีสินทรัพย์จะมีทั้งสิ้น 17,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น
มาจากยอดสินเชื่อประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประมาณ
30%
ในขณะที่ปี 2538 มีสินเชื่อจากด้านอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 39% ถ้าพิจารณาดูจนถึงสิ้นปีนี้
สินเชื่อจากอสังหาริมทรัพย์อาจจะลดลงเหลือเพียง 25% ที่เหลือก็จะกระจายกันไประหว่างสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภค
/ เพื่ออุตสาหกรรม / เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์และอื่น ๆ ส่วนละ 20%
ทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์โดยภาพรวมอื่น ๆ นั้น กรรมการผู้จัดการไทยรุ่งเรืองทรัสต์
บอกว่า ปัจจุบันนี้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 0.5-0.7% ซึ่งส่วนแบ่งในปีนี้ไม่ค่อยดีนัก
เนื่องมาจากภาวะตลาดที่ซบเซาทำให้เคอร์บี้ ซีเคียวริตี้ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น
และเป็นพาร์ตเนอร์ของบริษัทยังไม่สามารถที่จะส่งออร์เดอร์ได้เต็มที่จากที่ตั้งเป้าก่อนเป็นโบรกเกอร์จะส่งออร์เดอร์ไว้
50% แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะส่งได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
สำหรับภาวะตลาดหุ้นที่ซบเซาขณะนี้ นอกจากส่งผลต่อการดำเนินการของบริษัทที่ไม่ได้ตามเป้าหมายแล้ว
ยังส่งผลถึงการเข้าประมูลเก้าอี้โบรกเกอร์ใหม่อีกด้วย สว่าง เล่าว่า ขณะนี้มี
โบรกเกอร์ใหม่ประมาณ 6-7 รายได้มีการปรึกษาหารือกันเพื่อเตรียมการในการเข้าพบคณะทำงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เพื่อให้มีการทบทวนในเรื่องค่าชดเชยและค่าธรรมเนียมแรกเข้าของโบรกเกอร์ใหม่ที่เข้ามาก่อนหน้านี้
4 ราย และที่เข้ามาล่าสุด 6 รายรวม 10 ราย
เนื่องจากฐานการคำนวณค่าธรรมเนียมแรกเข้าของบริษัทสมาชิกที่ตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งเป็นหลักเกณฑ์เดิมนั้น
ในขณะนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสภาวะแวดล้อมที่เป็นอยู่ทำให้โบรกเกอร์ไม่สามารถที่จะทำกำไรจากธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
สำหรับรายละเอียดในการหารือกันระหว่างโบรกเกอร์ใหม่นั้น กรรมการผู้จัดการบริษัท
ไทยรุ่งเรืองทรัสต์ บอกว่า จากข้อสรุปต้องการจะให้ตลาดหลักทรัพย์มีการทบทวนและชดเชยการชำระค่าธรรมเนียมในส่วนของการจ่ายแรกเข้า
200 ล้านบาท ซึ่งตามกำหนดเดิมตลาดจะตัดบัญชีจากระยะเวลา 5 ปี ๆ ละ 40 ล้านบาทนั้น
จะขอยืดเวลาไปเป็น 10 ปี โดยจะขอตัดบัญชีเป็นปีละ 20 ล้านบาท เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับรายได้ของบริษัทและความเหมาะสมในการบันทึกบัญชี
ส่วนที่เหลืออีก 100 ล้านบาทที่โบรกเกอร์จะต้องทยอยจ่ายโดยตัดจากปริมาณการซื้อขาย
10% นั้นควรจะให้มีการจ่ายเก็บในสัดส่วนที่น้อยลงเหลือเพียง 5% หรือยืดระยะเวลาออกไป
"ดูเหมือนทุกอย่างจะฝากความหวังไว้ที่ปี 2540 ซึ่งเราหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นกว่าปีนี้"