หอบเงินลงทุนหลบภัย"เงินเฟ้อ""ทองคำ"มีโอกาสแตะหมื่นสาม


ผู้จัดการรายสัปดาห์(15 พฤษภาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ถ้าตัวเลขเงินเฟ้อ จะกระชากให้ราคาน้ำมัน และดอกเบี้ยพุ่งฉิว จนเจ้าของเงินออมต้องมองหาแหล่งพักเงินเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ชนะเงินเฟ้ออย่างขาดลอย แต่ก็ยังหาทางออกไม่เจอ ผู้คร่ำหวอดในวงการลงทุนแนะนำว่า แม้ว่าราคาทองคำในช่วงนี้จะอยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะโจนทะยานแบบนี้ตลอดไป หรืออย่างผลการศึกษาที่ระบุว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาจะให้ผลตอบแทนได้ถึงกว่า 3,000% แต่แน่ใจได้แค่ไหนว่าเราจะไม่เจ็บตัว หรือแม้กระทั่งกองทุนรวมก็ตามก็ยังไม่มีคำตอบให้แน่ชัด สำหรับประกันชีวิตที่อาจดูไม่มีสีสันนักในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีดีเอาเสียเลย....

เริ่มต้นที่ราคาทองคำแท่งซึ่งเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมและมีกระแสซื้อเก็งกำไรมากสุดในเวลานี้ จิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ มองว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำขึ้นในช่วงที่ผ่านมาคือ การที่กองทุนในต่างประเทศนำกำไรจากการเก็งกำไรน้ำมันมาลงในตลาดทอง ซึ่งสังเกตได้จากราคาที่ขึ้นลง 20-30 เหรียญสหรัฐและมีการปรับ 4-5 ครั้งต่อวัน คล้ายกับช่วง สงครามอ่าวเปอร์เชียและ 11 กันยายนซึ่งสถานการณ์โลกไม่แน่นอน หากสถานการณ์โลกราคาทองจะขึ้นสวนทางกับราคาหุ้นที่ตก

ในอีกมุมหนึ่งราคาทองคำก็สามารถลงได้เร็วเหมือนกัน เช่นตัวอย่างในวันที่ 21 ม.ค.1980 ราคาทองในตลาดโลกอยู่ที่ 850 เหรียญ/ออนซ์ แต่ในวันรุ่งขึ้นลดลงเหลือเพียง 730 และเรื่อยไปแตะระดับต่ำที่สุดที่ 250 เหรียญ/ออนซ์ สำหรับในสถานการณ์ปัจจุบันคาดว่าน่าจะมีแนวโน้มไปถึง 700 เหรียญ ได้ในไม่ช้านี้ซึ่งก็ต้องรอดูเหตุการณ์โลกแต่ไม่น่าถึง 800 เหรียญ ด้านราคาในประเทศก็อาจได้เห็นบาทละ 1.3 หมื่นบาทแต่คงจะไม่ใช่เร็วๆนี้

หากมองในแง่ผลตอนแทนย้อนหลัง 3-4 ปีที่ผ่านมาพบว่าทองคำสามารถทำได้เกิน 10%ทุกปีในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในอัตราไม่เกิน 3% เท่านั้น เทคนิคที่จิตติแนะนำคือ หากซื้อทองในช่วงปีที่ผ่านแล้วซึ่งถือว่ามีกำไรแล้วควรจะเทขายออกมาครึ่งหนึ่งก่อนเพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนกำไรแล้วเอาเงินที่ได้นี้ไปลงทุนอย่างอื่นต่อ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้ขายเมื่อพอใจหลังจากราคาสูงกว่านั้น

ข้อดีของการซื้อทองคำแท่งนี้คือจะไม่ต้องเสียภาษีทั้งสรรพสามิตและภาษีศุลกากร โดยหากซื้อไม่มากก็ควรจะซื้อความบริสุทธิ์ชนิด 96.5% แต่หากซื้อจำนวนมากควรซื้อชนิด 99.5% โดยน้ำหนักต่ำสุดเริ่มต้นที่ 5 บาท โดยการเลือกซื้อก็ควรจะซื้อกับร้านค้าใหญ่และเก่าแก่เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง ทั้งนี้ทองคำในประเทศไทยจะแปรผันตามราคา ณ ตลาดฮ่องกง และ ญี่ปุ่น และค่าเงินบาทเป็นหลัก

ต่อด้วยการลงทุนในตลาดหุ้น วิเชษฐ ตันติวานิช ประธานที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ ให้ความเห็นว่า แม้ว่าหุ้นจะมีการซื้อขายในตลาดเสรีคล้ายตลาดทองคำต่างประเทศทำให้มีผู้ได้ผลประโยชน์มือใหญ่มือเล็กและมีการปล่อยข่าวเป็นธรรมดาแต่ตลาดฯก็ได้พยายามป้องกันเต็มที่

สำหรับปัจจัยพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนในตลาด หากมองถึงอัตราการทำกำไรย้อนหลัง 10-20 เดือนจะพบว่าบริษัทส่วนใหญ่จะมีค่าสูงขึ้นโดยตลอด แม้จะต้องผ่าฟันกับสถานการณ์ด้านลบตลอดมา ซึ่งก็ถือได้ว่ามีการจัดการที่ดี แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ในอนาคตเพราะมีปัจจัยหลายตัวที่ควบคุมไม่ได้เช่น ค่าแรง, ค่าไฟฟ้า, ค่าขนส่ง ฯลฯ

ด้านปัจจัยจิตวิทยาเมื่ออยู่ท่ามกลางปัจจัยลบซึ่งส่งผลถึงค่าผลตอบแทน P/E ของตลาดต่ำกว่า 10 เท่าในขณะที่ตลาดเพื่อนบ้านสูงกว่า 10 หมด ทั้งนี้เพราะทุกคนพุ่งเป้ามองว่าปัจจัยระยะสั้นไม่น่าจะดี แม้ตัวหุ้นจะมีคุณค่าแต่ไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ดีเท่าที่ควร

ทั้งนี้การจะลงทุนในหลักทรัพย์ใดก็ตามต้องพิจารณาใน 3 ปัจจัยหลักคือ ผลตอบแทนที่คาดหวัง ,ความเสี่ยง และสภาพคล่อง เปรียบเทียบกับหลักทรัพย์อื่นซึ่งก็จะต้องดูช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมประกอบด้วย อย่างในต่างประเทศก็จะมีดัชนีเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้นเทียบกับเงินฝาก,พันธบัตร,ของเก่า,รูปภาพ ฯลฯ ซึ่งขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ไทยก็ได้ออกดัชนีผลตอบแทนรวม( TRI) ซึ่งเป็นดัชนีใหม่ที่ใช้ในการเปรียบเทียบมาแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

สำหรับบุคคลธรรมดาการลงทุนในตลาดฯที่ถูกต้องควรจะซื้อเฉพาะหุ้นตัวที่เรารู้จักดีทั้งในแง่พื้นฐาน, แนวโน้มธุรกิจ และผู้บริหาร ไม่เกิน 10 ตัวเท่านั้นเนื่องจากในแต่ละวันเราไม่มีเวลาติดตามการเปลี่ยนแปลงที่ตลอด แต่หากต้องการลงทุนในหุ้นมากกว่า 10 ตัวก็ควรจะหันไปซื้อกองทุนรวมโดยเลือกกองที่มีหุ้นซึ่งเราต้องการอยู่ในพอร์ตจะสะดวกกว่าและเราก็จะเสียเพียงค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการเท่านั้น

อดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) ไทยพาณิชย์ เสริมว่า ปัจจุบันมี บลจ.อยู่ทั้งหมด 18 แห่ง ทำให้การแข่งขันในตลาดสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถพิจารณาค่าธรรมเนียมเรียกเก็บและค่าตอบแทนที่ได้รับ เลือกซื้อที่ถูกใจได้มากขึ้น โดยกองทุนรวมก็มีทั้งกองทุนที่ลงทุนในหุ้นและกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งเท่าที่ผ่านมากองทุน LTF จะเป็นที่ได้รับความนิยมและเติบโตเร็วที่สุด

ด้านมิติการลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิต สาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด มองว่า หากจะพูดถึงการประกันชิวิตทิศทางก็อาจจะเป็นเรื่องของการคุ้มครองและการออมมากกว่าการลงทุน เว้นแต่จะเป็นกรมธรรม์ระยะยาวสะสมทรัพย์โดยจะมีส่วนดีที่ช่วยลดภาษีได้ด้วย แต่ที่ได้แน่นอนก็คือความคุ้มครองจากกรมธรรม์ โดยไม่มีความเสี่ยงผลตอบแทนสูญหายเพราะ มีทั้งการจ่ายดอกเบี้ยและการรันตีมินิมั่มรีเทิร์น

สำหรับข่าวดีที่กำลังจะเกิดขึ้นในแวดวงประกันชีวิตเร็วๆนี้ก็คือ จะมีการหารือกับทางราชการที่จะออกนโยบายประกันชีวิตแห่งชาติซึ่งจะนำไปช่วยลดหย่อนภาษีได้ในอัตราที่ไม่ต่ำกว่าซื้อ LTF

นอกจากนั้นตัวผลิตภัณฑ์เองยังมีความหลากหลายซึ่งในไม่ช้านี้ จะมีกรมธรรม์ที่มีการลงทุนหลากหลาย ทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ การลงทุนในหุ้น ซึ่งผู้ซื้อสามารถกำหนดพอร์ตได้ตามต้องการ เพิ่มความคุ้มครอง โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือซื้อกรมธรรม์ใหม่

แม้ว่าภายใต้ภาวะน้ำมันแพงและดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ การลงทุนทุกประเภทก็ยังสามารถให้ผลตอบแทนได้ดี ขึ้นอยู่กับว่าผู้ลงทุนจะมีความเข้าใจในข้อมูลพื้นฐานและสภาพความเป็นไปตลอดจนระยะเวลาที่เหมาะสมของมันได้ดีเพียงใด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.