แบงก์ลุ้นการเมืองชัดเจนดันเป้าสินเชื่อ-กำไร


ผู้จัดการรายวัน(10 พฤษภาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

แบงก์กรุงศรีฯแจงเหตุสินเชื่อไตรมาสแรกโตต่ำกว่าที่ตั้งไว้ 8% จากดอกเบี้ยขาขึ้น-น้ำมันแพง เตรียมทบทวนเป้าปล่อยกู้ขอรอดูแนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาส 2 ขณะที่สินเชื่อบ้านยังขยายได้ถึง 22% สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ แต่คาดว่าในช่วงต่อไปจะชะลอตัว ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยเริ่มชะลอในไตรมาส 3 ด้านแบงก์นครหลวงไทยคาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ยังได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ เชื่อเศรษฐกิจดีขึ้นหลังเลือกตั้งใหม่

นางชาลอต โทณวณิก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)(BAY) เปิดเผยถึงการปล่อยสินเชื่อในช่วงไตรมาสแรกของปี 49 ที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8% หรือเท่ากับสินเชื่อเพิ่มสุทธิ 36,000 ล้านบาทว่า มีสาเหตุมาจากหลายๆปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ย หรือราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อเดิม โดยจะรอดูสถานการณ์ต่างๆต่อไปจนกระทั่งสิ้นสุดไตรมาส 2 จึงจะมีการทบทวนเป้าหมายต่างๆอีกครั้งหนึ่ง

"เราไม่ได้คาดหวังว่าสินเชื่อไตรมาสแรกจะต้องโตเท่ากับเป้าหมายที่ตั้งไว้ทันที แล้วก็เป็นช่วงปกติที่สินเชื่อในไตรมาสแรกจะไม่ค่อยปรับตัวสูงขึ้น เพราะนักลงทุนอาจจะลังเลยังในการตัดสินใจอยู่ โดยการอนุมัติสินเชื่อใหม่ออกไปก็ยังมีอยู่ แต่ลูกค้าอาจจะยังไม่ได้เบิกไปก็จะยังไม่เป็นยอดคงค้าง ซึ่งคงจะขอดูภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ก่อน จึงจะมีการหารือเรื่องเป้าสินเชื่อกันอีกครั้ง"นางชาลอตกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้น ในไตรมาสแรกธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้เกินกว่าเป้าหมาย โดยมีการขยายตัวถึง 22% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นภาระผูกพันต่อเนื่องมาจากปีก่อน แต่ในช่วงต่อไปของปี แนวโน้นสินเชื่ออาศัยคงจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และธนาคารก็ยังคงเป้าการปล่อยสินเชื่อรายย่อยไว้ในระดับ 13,000 ล้านบาท เป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย 11,000 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อสวัสดิการ 1,000 ล้านบาท และสินเชื่อ Krungsri Micro SMEs อีก 1,000 ล้านบาท

สำหรับสินเชื่อ Krungsri Micro SMEs นั้น โดยในช่วงแรกธนาคารจะเปิดให้บริการเฉพาะในงาน Money Expo 2006 เท่านั้น ซึ่งจะเป็นสินเชื่อเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ที่สามารถกู้ได้โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงินกู้ตั้งแต่ 5 แสนบาท สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขพิเศษ ลูกค้าสามารถเลือกรับวงเงิน O/D ได้สูงสุดถึง 20%ของวงเงินสินเชื่อรวมที่ได้รับอนุมัติ ระยะเวลา 1-5 ปี และอัตราดอกเบี้ย MRR + 6-9% โดยเชื่อว่าจะได้รับความสนใจในการยื่นความจำนงขอกู้ในระดับเกิน 1,000 ล้านบาท

" ในงาน Money Expo ปีนี้ ธนาคารหันมาเน้นที่สินเชื่อเอสเอ็มที แทนที่จะเป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเหมือนครั้งก่อนๆ เนื่องจาก ธนาคารคาดการณ์ไว้ว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยปีนี้คงจะชะลอตัวลง แต่แคมเปญต่างๆของสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม"นางชาลอตกล่าว

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น นางชาลอตกล่าวว่า เชื่อว่าในไตรมาส 3 เริ่มจะเริ่มชะลอตัวลง เช่นเดียวกับที่ธนาคารหลายๆแห่งคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม คงต้องดูภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะต้องตัดสินใจว่าปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ โดยอัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 8.5% ซึ่งน่าจะเป็นอัตราสูงสุดที่ลูกค้ายังรับได้ เนื่องจากขณะนี้ประชาชนต้องประสบปัญหาในหลายๆด้านพร้อมกัน

สำหรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่ให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาเป็นโมฆะนั้น ถือว่าเป็นอีกขั้นหนึ่งที่จะทำให้เกิดการเลือกตั้ง ซึ่งประชาชนก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นจากตลาดหุ้นที่รับข่าว แต่ก็ยังมีสูญญากาศ ก็คงต้องรอดูหลังเลือกตั้งอีกครั้ง

ขณะที่นายสุทธิพงศ์ อิทธิพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของธนาคารนั้น คาดว่ายังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเห็นได้จากในไตรมาสที่ 1 ที่ทำกำไรได้ตามเป้าหมาย โดยจะเน้นการสร้างรายได้จากลูกค้ารายย่อย ทั้งสินเชื่อเคหะ สินเชื่อบัตรเครดิต เนื่องจากยังมองว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง น่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อปัญหาการเมืองสามารถแก้ไขได้มีการเลือกตั้งใหม่ มีรัฐบาล และปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ที่ยังแข็งแกร่ง ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะเติบโตได้

ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าจะรักษาระดับส่วนต่างของดอกเบี้ย (สเปรด)ไว้ในระดับ 3-4%ได้ โดยมาจากการเน้นปล่อยสินเชื่อกับลูกค้ารายย่อย ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ในเดือนมิ.ย. ธนาคารยังจะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนฟื้นฟู 67,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารจะนำเงินดังกล่าวมาปล่อยกู้ในตลาดเงิน หรือมาปล่อยสินเชื่อเพื่อให้มีรายได้มากขึ้น

“ผลประกอบการของธนาคารในปีนี้จะเน้นการสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม ในส่วนของลูกค้ารายย่อยให้มากขึ้น เนื่องจากลูกค้ารายย่อยยังขยายตัวได้ดีในขณะที่ลูกค้ารายใหญ่อาจชะลอตัวลงไปบ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่ช่วงไตรมาสที่ 3-4 ก็น่าจะปรับตัวดีขึ้น เมื่อปัญหาการเมืองได้รับการแก้ไข" นายสุทธิพงศ์กล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.