ประมาณเดือนกันยายน 2539 นี้ จะมีการซื้อขายที่ดินแปลงใหญ่มูลค่าสูงอีกแปลงหนึ่งบนถนนสาธรใต้
ที่ดินแปลงดังกล่าว มีขนาดพื้นที่ 10.5 ไร่ เป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งซื้อไว้ตั้งแต่ปี
2463 เพื่อเป็นที่ทำการของสถานทูต และที่พักของเอกอัครราชทูต ประจำประเทศไทย
แต่หลังจากการก่อสร้างที่ทำการใหม่บนถนนวิทยุของสถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทยเสร็จสมบูรณ์ลงรัฐบาลสหรัฐฯ
เลยประกาศขายที่ดินแปลงนี้ โจนส์ แลง วูธทั่น (เจแอลดับบลิว) คือ บริษัทที่โชคดีได้เป็นตัวแทนในการขายที่ดินแปลงนี้
"เป็นที่ดินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในมือของโจนส์แลงฯ ตอนนี้" ล่องลม
บุนนาค กรรมการบริหารคนหนึ่งของ JLW กล่าวกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ที่ดินแปลงดังกล่าวถูกกำหนดราคาไว้ที่ประมาณ 5-5.5 แสนบาทต่อตารางวา รวมเป็นเงินทั้งหมดประมาณ
2,500 ล้านบาท
ในสถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังทรงตัวอย่างนี้ ที่ดินมูลค่าสูงจำนวนพื้นที่มาก
ๆ ในย่านใจกลางเมืองยังเป็นที่ต้องการ บทพิสูจน์นี้มาจาก ล่องลม ที่เขายืนยันว่า
หลังจากข่าวการขายที่ดินแปลงนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีนักลงทุนได้ติดต่อเข้ามาขอรายละเอียดจากทางบริษัท
พร้อมทั้งขอแบบฟอร์มหนังสือเสนอซื้อเพื่อที่จะยื่นให้กับรัฐบาลอเมริกาแล้วประมาณ
10 ราย เป็นนักลงทุนทั้งใน และนอกตลาดหลักทรัพย์ 7 ราย อีก 3 รายเป็นนักลงทุนชาวฮ่องกง
สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนี้มีนักลงทุนชาวไทยร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ด้วย
แน่นอนว่า กลุ่มใดที่เสนอราคาสูงสุดและมีเทอมการชำระเงินสั้นที่สุด จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ไป
ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐจะตัดสินใจฟันธงตกลงว่า จะเอากลุ่มไหนแน่นอนนั้นคาดว่าประมาณเดือนกันยายนก็คงรู้ผล
สาเหตุที่ต้องทอดระยะเวลาให้ยาวออกไปถึงเดือนกันยายนทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ก็มีผู้ที่ต้องการซื้อแน่นอนแล้วนั้นเป็นเพราะว่า
ทางรัฐบาลสหรัฐต้องการหากลุ่มลูกค้าให้กว้างที่สุดในภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก
สำหรับรูปแบบของโครงการที่นักลงทุนจะพัฒนาในที่ดินแปลงนี้นั้น ล่องลม กล่าวว่า
มีการกำหนดไว้คร่าว ๆ ว่า จะแบ่งที่ดินออกเป็น 3 แปลงย่อย แปลงแรกจะถูกพัฒนาให้เป็นอาคารสำนักงานที่จะขายยกอาคารไปเลยให้กับบริษัทที่สนใจ
แปลงที่ 2 จะเป็นคอนโดฯ ที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ส่วนแปลงที่ 3 จะเป็นอพาร์ตเม้นต์
หรือออฟฟิศบิลดิ้งให้เช่า ซึ่งมูลค่าการก่อสร้างและการลงทุนทั้ง 3 ตึกนี้ประมาณ
6-7 พันล้านบาท
นอกจากที่ดินบนถนนสาธรแล้ว รัฐบาลสหรัฐยังมอบหมายให้โจนส์แลงฯ เป็นตัวแทนขายที่ดินขนาด
83 ไร่ ในเขตมีนบุรีอีกแปลงหนึ่งด้วย ซึ่งที่ดินแปลงนี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งของศูนย์สื่อสารข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐในไทย
มีพื้นที่ที่ดินติดกับหมู่บ้านปรีชา สุวินทวงศ์ มูลค่าประมาณ 300-350 ล้านบาท
ล่องลมให้ความเห็นกับภาวะการซื้อขายที่ดินแปลงใหญ่ และการขายอาคารยกตึกในกรุงเทพฯ
ปัจจุบันว่า สภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ทุกวันนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เป็นข่าวมากมายนัก
นักลงทุนยังมีช่องทางในการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในย่านใจกลางเมือง เพราะปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ขยายตัวใหญ่ขึ้น
และต้องการที่ตั้งของสำนักงานแห่งใหม่ โดยเฉพาะบริษัททางด้านการเงิน บริษัทพวกนี้ต้องการซื้อตึก
เพื่อเป็นอาคารสำนักงานของตัวเองทั้งตึก แต่หาซื้อไม่ได้ เพราะมีให้เลือกน้อยมาก
เลยต้องหาซื้อที่ดินทำเองช้าหน่อย แต่ก็สามารถเป็นตัวโครงการที่พอใจ
สำหรับการขายยกตึกนั้น จะมีมากในย่านนอกตัวเมืองออกไป เช่น บนวิภาวดี ถนนรัชดาภิเษก
หรือถนนบางนา-ตราด แต่ในย่านสีลม สาธร เพลินจิตนั้น จะไม่ค่อยมี เพราะผู้ที่มาลงทุนทำโครงการในย่านนี้ได้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีสายป่านทางการเงินที่ดี
เลยไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาสภาพคล่องด้วยการขายโครงการ
ขณะนี้ ทางโจนส์ แลงฯ มีโครงการที่เป็นอาคารสำนักงาน อพาร์ตเมนต์ และคอนโดมิเนียมอย่างละหนึ่งโครงการ
ในย่านใจกลางเมืองที่กำลังเป็นตัวแทนขายทั้งตึก
"มีนักลงทุนเสนอโครงการเข้ามาให้เป็นตัวแทนขายประมาณ 6-7 โครงการ แต่เราพิจารณาแล้วว่า
มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถปล่อยขายได้ง่ายเพียง 3 โครงการ เลยรับไว้แค่นี้ก่อน"
และที่แน่ ๆ ในเดือนกันยายนเช่นกัน ที่โจนส์ แลงฯ จะได้รับเงินค่านายหน้าก้อนใหญ่
คิดง่าย ๆ ถ้า 3% ก็ฟันไป 69 ล้านบาทแล้ว หรือถ้าเพียง 1% ก็เป็นเงินไม่ต่ำกว่า
23 ล้านบาท เสียอย่างเดียวเท่านั้น ที่งานนี้กรมที่ดินไม่มีส่วนได้เอี่ยวด้วย
เพราะมีกฎหมายอยู่ข้อหนึ่งว่า การขายที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของสถานทูตนั้น
ไม่ต้องจ่ายค่าภาษีให้กับทางรัฐบาลไทย