หากเอ่ยชื่อ "ยาน้ำเชื่อมแก้ไอ ชวนป๋วยปี่แปกอ ตราลูกกตัญญู"
มั่นใจได้ว่า ชาวจีนหรือลูกจีนในประเทศไทยแทบทุกคนคงรู้จักเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับคนไทยที่น่าจะคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย
ส่วนจะเคยลิ้มลองรสหรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ชวนป๋วยปี่แปกอ ตราลูกกตัญญูเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน
หลังจากที่บริษัท เนียมฉื่ออ่ำเมดิซีน แมนูแฟคตอรี่ ประเทศฮ่องกง ผลิตยาตำรับนี้ออกจำหน่ายได้
20 ปี นั่นหมายถึงว่าถ้านับถึงวันนี้ชวนป๋วยปี่แปกอ ตราลูกกตัญญูมีอายุอยู่ในตลาดยา
50 ปีพอดี
แต่ถ้ากล่าวถึงประวัติศาสตร์ของยาตัวนี้แล้ว มีความเป็นมายาวนานกว่านั้นมากนัก
กำเนิดของชาวป๋วยปี่แปกอเริ่มขึ้นที่ประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ซิงเมื่อ 200
กว่าปีล่วงมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า มาดามหยางล้มป่วยลง โดยมีอาการไอรุนแรงและเรื้อรัง
รับประทานยามากมายหลายขนานก็ไม่หาย ทำให้บุตรชายซึ่งเป็นขุนนางไปหาหมอยีเพื่อขอสูตรยาแก้ไอมาปรุงให้มารดาทาน
ซึ่งเมื่อนำไปปรุงให้มาดามหยางทานก็ปรากฏว่าอาการไอได้หายขาด
ด้วยความเมตตาต่อผู้เจ็บป่วยคนอื่น ขุนนางท่านนี้จึงได้ปรุงยาชนิดนี้แจกจ่ายให้กับชาวบ้านนำไปรักษาตัวด้วย
โดยที่ตระกูลหยางยังเป็นเจ้าของสูตรขนานนี้อยู่ จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่
2 ที่ญี่ปุ่นยกทัพไปบุกจีน ลูกหลานของขุนนางหยางได้อพยพมาอยู่ที่ฮ่องกง ต่อมาได้ขายสูตรยานี้ให้แก่บริษัทเนียฉื่ออ่ำ
ผลิตออกจำหน่าย เพื่อระลึกถึงความกตัญญของขุนนางหยาง บริษัทจึงใช้ "ตราลูกกตัญญู"
เป็นสัญลักษณ์ของยามาจนกระทั่งทุกวันนี้
ปัจจุบัน ยาขนานนี้มีจำหน่ายในทุกภูมิภาคของโลก ทั้งทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย
อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม สหรัฐอเมริกา แคนาดา
ออสเตรเลีย ปานามา จีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย
และประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยนั้น นายชาน ยิน ผู้อำนวยการและผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปบริษัทเนียมฉื่ออำเมดิซีน
แมนูแฟคตอรี่ จำกัด กล่าวว่า เมื่อเทียบอัตราการเติบโตกับประเทศอื่นแล้วอยากให้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตมากกว่าที่เป็นอยู่
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงเดินทางมาเมืองไทยเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งนอกจากการพบปะกับตัวแทนจำหน่าย
คือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เอ็งจีนฮั่วเฮง ที่ทำหน้าที่มา 16 ปี ยังมาพบปะพูดคุยกับบริษัทสปา
แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด ซึ่งเพิ่งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านการโฆษณาและการทำตลาดเหนืออื่นใด
คือ การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนครั้งแรก เพื่อเผยแพร่ข่าวสารของบริษัทให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้มีเป้าหมาย คือ ผลักดันยอดขายในประเทศไทยให้เติบโตมากกว่าที่ผ่านมา
"ถ้าเทียบการเติบโตของประเทศไทยซึ่งปีหนึ่งโต 10% นิด ๆ แล้ว จะเห็นว่า
ต่ำกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของชวนป๋วยปี่แปกอทั่วโลก ที่อยู่เฉลี่ยประมาณ
15-20% โดยถ้าเทียบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว มาเลเซียจะมีอัตราการเติบโตมากที่สุด"
ชาน ยิน กล่าว
ในปี 2538 ที่ผ่านมา ชวนป๋วยปี่แปกอ มียอดขายรวมทั่วโลกประมาณ 1,000 ล้านบาท
แน่นอนว่า ตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่ประเทศจีน รองลงมา คือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ถัดมาเป็นสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป
ชาน ยิน กล่าวถึงแผนการผลักดันยาน้ำเชื่อมแก้ไอชวนป๋วยปี่แปกอ ตราลูกกตัญญูว่า
ได้มอบหมายให้สปาฯ ทำการชี้แจงให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจคุณสมบัติของสินค้ามากขึ้น
โดยนอกจากการใช้เพื่อแก้ไอแล้ว ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ อีกด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายให้กว้างขวางมากขึ้น
โดยจะเน้นจุดขายความเป็นธรรมชาติของสินค้าที่ไม่มีสารเคมีเจือปน มีแต่ส่วนประกอบของสมุนไพรจีนและน้ำผึ้ง
"ที่ผ่านมา สาเหตุที่เราต้องโฟกัสว่า เป็นยาแก้ไอก็เนื่องจากว่า ตอนนำสินค้าเข้ามาจำหน่าย
บริษัทต้องนำสินค้าไปขึ้นทะเบียน โดยต้องบ่งบอกลงไปให้ชัดเจนว่าเป็นยาใช้สำหรับแก้โรคอะไร
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว บริษัทอยากขึ้นทะเบียนแค่ว่าเป็นยาชวนป๋วยปี่แปกอ
แต่ไม่สามารถทำได้ แม้ว่ายาของเราจะมีสรรพคุณมากกว่านั้นก็ตาม" สุมินทร์
แอ่งขุมทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไป ห.ส.น.เอ็งจีนฮั่วเฮง เล่าให้ฟัง
เมื่อประกอบกับที่ผ่านมาการโฆษณาสินค้าไม่ถูกจุดเท่าที่ควร ทำให้มีลูกค้าสนใจสินค้าอยู่ในวงแคบ
ๆ เท่านั้น
ถ้ายังจำกันได้ พรีเซนเตอร์คนแรกของชวนป๋วยปี่แปกอ คือ นันทิดา แก้วบัวสาย
นักร้องยอดเยี่ยมแห่งเอเชียคนแรกของไทย ที่ไปรู้จักยาตัวนี้ที่ฮ่องกงใน่วงที่ไปประกอบร้องเพลงที่นั่น
และเมื่อได้ตำแหน่งกลับมามีพิธีกรไปสัมภาษณ์ออกรายการทีวี โดยถามทำนองว่ารับประทานอะไรจึงได้รางวัล
ซึ่งนันทิดาก็ตอบออกอากาศว่า เขากินชวนป๋วยปี่แปกอ ทำให้บริษัทถูกกระทรวงเตือนว่าทำการโฆษณาสินค้าแอบแฝงทั้ง
ๆ ที่บริษัทไม่รู้เรื่อง และต่อมาบริษัทจึงจ้างนันทิดามาเป็นพรีเซ็นเตอร์จริง
ๆ เสียเลย
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะหันมาเจาะกลุ่มคนหนุ่มสาว และคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น
นอกเหนือจากที่จับกลุ่มคนรุ่นเก่า คนจีน และคนสูงอายุไว้ได้อยู่หมัดมานานแล้ว
เพราะปัจจุบัน คนรุ่นใหม่หันมานิยมสินค้าที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีเจือปนมากขึ้น
โดยเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมานาน และเชื่อว่าแนวโน้มนี้เริ่มเกิดขึ้นในประเทศเช่นเดียวกัน
"กลุ่มเป้าหมายในประเทศอื่น แม้ว่าจะมีคนจีนในประเทศนั้นเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวมากขึ้น โดยเฉพาะที่ออสเตรเลียและแคนาดาที่มีบรรจุภัณฑ์เป็นกล่องสีเขียว
พร้อมกับมีภาพสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบแสดงไว้ชัดเจนนั้น มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นฝรั่งล้วน
ๆ ทีเดียว ซึ่งเป็นไปได้ว่าในอนาคตอาจจะนำแพ็คเกจจิ้งเดียวกันนี้มาแนะนำในประเทศไทยบ้าง"
ชาน ยิน กล่าว
โดยเขาคาดว่า การปรับกลยุทธ์ทางการตลาดครั้งนี้ จะทำให้ชวนป๋วยปี่แปกอในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นเป็นปีละ
20% แม้ว่าจะยังไม่มีความหวังว่าที่จะเป็นผู้นำตลาดเหมือนอย่างที่ทำได้ในไต้หวัน
มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และประเทศจีนก็ตาม
เพราะถ้าเทียบกันแล้ว ประเทศไทยถือว่ามีอุปสรรคในการทำตลาดมากกว่าประเทศอื่น
ๆ ประการแรกก็คือ ความนิยมใช้ยาแผนโบราณของไทยยังน้อยมาก คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดเพียง
20% ขณะที่ยาแผนปัจจุบัน หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ยาฝรั่งมีส่วนแบ่งถึง
80%
อีกประการก็คือ การถูกจำกัดเรื่องช่องทางการวางจำหน่ายให้วางขายได้เฉพาะในร้านขายยาเท่านั้น
ขณะที่หลาย ๆ ประเทศ เช่น ฮ่องกง สามารถวางขายได้ในซูเปอร์มาร์เก็ต
"เราก็ได้แต่หวังว่า ปัจจัยหลัก 3 ประการที่ทำให้ชวนป๋วยปี่แปกอประสบความสำเร็จมาโดยตลอด
คือ สรรพคุณที่ดีของสินค้า การโฆษณาที่ถูกจุดและการรักษาคุณภาพของสินค้าให้คงที่ตลอดไป
จะทำให้การทำตลาดในประเทศไทยประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้อย่างแน่นอน"
ชาน ยิน กล่าวทิ้งท้ายอย่างมีความหวัง