SCC สร้างฐานธุรกิจที่ลำปาง "ล็อบบี้" กันจนเหนื่อย


นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

"เราใช้เวลา 24 เดือนในการสร้างโรงงาน จะเห็นว่าโรงงานนี้แตกต่างกว่าที่อื่นตรงที่มีลักษณะคล้ายป่าเพราะเราต้องการทำโรงงานนี้ให้เป็นหน้าตาของจังหวัดลำปาง" ทวี บุตรสุนทร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปูนซีเมนต์ไทย หรือ SCC ในฐานะประธานกรรมการ บริษัทปูนซีเมนต์ไทย (ลำปาง) กล่าวถึงโรงงานปูนซีเมนต์ไทย (ลำปาง) ซึ่งมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา แต่เดินเครื่องโรงงานไปตั้งแต่ต้นกรกฎาคมปีเดียวกัน

โรงงานแห่งนี้ เป็นโรงงานแห่งแรกของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย (ลำปาง) แต่ถือเป็นโรงงานแห่งที่ 5 ของ SCC ด้วยเพราะบริษัทปูนซีเมนต์ไทย (ลำปาง) เป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้น 100% ของทุนจดทะเบียน 1,500 ล้านบาท โดยมีสมเกียรติ พันธุ์อนุกูลเป็นกรรมการผู้จัดการ

จุดมุ่งหมายของโรงงานปูนฯ ลำปางคือเพื่อสร้างฐานการผลิตปูนฯ ให้กับบริษัทแม่ในภาคเหนือ ด้วยกำลังการผลิตทั้งสิ้น 2.1 ล้านตัน ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตโดยรวมของบริษัทแม่เพิ่มขึ้นเป็น 19-20 ล้านตันในปี 2540 แม้ว่าจะเป็นกำลังการผลิตที่ยังไม่เพียงพอกับปริมาณขายของบริษัทซึ่งตกประมาณ 22 ล้านตันในปีนี้ก็ตาม แต่ย่อมช่วยลดการนำปูนฯจากต่างประเทศและการซื้อจากผู้ผลิตอื่น

ว่าไปแล้วโรงงานแห่งนี้นับว่ามีความสำคัญต่อ SCC หลายด้านทีเดียว ประการแรก SCC เป็นผู้ผลิตปูนฯรายแรกที่เข้ามาปักธงสร้างโรงงานที่นี่ จึงทำให้ภาคเหนือเป็นสมรภูมิที่ได้เปรียบคู่แข่งอื่นๆ ขึ้นมาในทันที ทั้งในด้านสามารถตอบสนองความต้องการปูนซีเมนต์ของภาคเหนือ โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยังช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งลงอีกด้วย

แม้กำลังการผลิต 2.1 ล้านตัน ของโรงงานปูนซีเมนต์ลำปาง ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการปูนฯ ในภาคเหนือที่คาดไว้ว่าจะมีประมาณ 5.6 ล้านตัน ในปีนี้ โดย SCC มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 50% หรือประมาณ 2.8 ล้านตัน แต่ก็ทำให้บริษัทลำเลียงปูนฯจากโรงงานที่สระบุรีมายังภาคเหนือน้อยลง เมื่อดูโดยรวมแล้ว ต้นทุนจะต่ำกว่าคู่แข่งอย่างแน่นอน ถ้าไม่มีการตัดราคาขายปูนฯกัน กำไรที่ SCC จะได้เพิ่มเติมก็คือค่าขนส่งที่ประหยัดลงไปได้นั่นเอง

ส่วนในอนาคตหากมีคู่แข่งจะมาเปิดโรงปูนฯ ที่นี่ SCC ก็ไม่หวั่น ทวีกล่าวว่าการสร้างโรงงานปูนฯ ใช้เวลาร่วม 2 ปี ถึงตอนนั้นความต้องการปูนฯก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีก กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ได้มาแย่งตลาดกัน

นอกจากนี้ SCC ยังสามารถใช้ฐานการผลิตจากลำปางเป็นฐานส่งออกไปยังพม่าหรือลาวได้ ซึ่งจะรวดเร็วและมีต้นทุนค่าขนส่งต่ำกว่าในปัจจุบันที่ต้องขนส่งปูนฯจากสระบุรีไปยังประเทศเหล่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจอีกไม่น้อยในเครือของ SCC จะเกิดขึ้นตามมา ดังเช่นธุรกิจทำกระเบื้องหลังคา ซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของบริษัทกระเบื้องไทย อันเป็นบริษัทย่อยอีกแห่งของ SCC ทางคณะผู้บริหารก็อนุมัติแล้วว่าจะสร้างโรงงานกระเบื้องที่ลำปาง ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการจัดซื้อเครื่องจักรคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี เงินลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท

เมื่อขุมทรัพย์มหาศาลอยู่ที่ลำปาง ผู้บริหารของ SCC จึงต้องใช้ยุทธวิธีทำให้คนลำปางรู้สึกว่าโรงงานปูนซีเมนต์ ลำปาง เป็นของชาวลำปางทั้งหลาย เห็นได้จากการกำหนดหลักการทำงานของบริษัทไว้ว่า "สร้างงาน สร้างความเจริญ รักษาสิ่งแวดล้อมและเป็นพลเมืองดีของลำปาง"

ด้วยกรณีความขัดแย้งระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมกับประชาชนในพื้นที่จากปัญหาสิ่งแวดล้อมมีอยู่ให้เห็นอยู่เนืองๆ แต่ละครั้งที่เกิดขึ้น เจ้าของโรงงานจะรู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายเสียหาย ทั้งเสียชื่อ เสียเวลา และเสียทรัพย์

แม้ว่าการสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ลำปางจะผ่านพ้นไปแล้วด้วยดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาระหว่างบริษัทกับชาวบ้านแต่อย่างใด คนในพื้นที่เล่าว่าในระยะแรกของการก่อสร้างโรงงานก็เคยมีม็อบย่อยๆ ของชาวบ้านมาประท้วงบ้างเหมือนกัน แต่ก็สามารถทำความเข้าใจกันได้ จึงไม่เห็นเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชน

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในพื้นที่จึงเป็นนโยบายหนึ่งที่ผู้บริหารของ SCC และปูนฯลำปางจะละเลยเสียไม่ได้

กระนั้นการโน้มน้าวให้ชาวลำปางเชื่อในบริษัทก็มิใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก บางครั้งยังปรากฎข่าวของสื่อมวลชนท้องถิ่นในทำนองว่าผู้บริหารบริษัทปูนซีเมนต์ไทย (ลำปาง) ไม่ทำตามคำพูดที่กล่าวไว้ เช่น การรับพนักงานท้องถิ่น ไม่ได้รับคนลำปางเข้ามาจำนวนมากอย่างที่ตกปากรับคำกับผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงราชการและการเมืองของลำปาง

ปัญหานี้ ทวีและสมเกียรติ สองหัวหอกของเครือ SCC ต้องแจกแจงให้สื่อมวลชนทุกแขนงฟังอย่างละเอียดยิบว่าปัจจุบันบริษัทปูนฯลำปางมีคนท้องถิ่นเข้ามาทำงานถึง 63% หรือ 218 คน จากพนักงานทั้งหมด 350 คน แต่ที่ไม่สามารถรับเฉพาะคนลำปางได้หมด ก็เพราะว่าโรงงานใหม่ทุกแห่งก็ต้องมีคนมีประสบการณ์มาเป็นหลักในการดำเนินงานก่อน ดังนั้นจึงต้องมีคนเก่าคนแก่จากโรงงานเดิมของ SCC มาช่วย

"จริงๆ แล้วถ้าเรารับตามเกณฑ์ของเครือปูนซีเมนต์ไทย จะรับได้ไม่เกิน 30 คน เพราะกำหนดเกรดเฉลี่ยไว้ 2.5 ดังนั้นเราจึงกำหนดไว้ว่าเฉพาะที่โรงปูนลำปางแห่งเดียวเท่านั้นเราจะลดคะแนนลงมาเหลือแค่ 2.00 เราจึงรับพนักงานได้ถึง 200 กว่าคน" ทวีชี้แจง

นอกจากนี้ เขายังย้ำนักย้ำหนาว่าการสร้างโรงงานที่นี่ไม่ด้สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กับชาวลำปางเพราะมีระบบควบคุมสิ่งแวดล้อมที่ดี โดย SCC ใช้เงินกว่า 400 ล้านบาท จากจำนวนเงินลงทุนในโรงงานทั้งหมด 6,000 ล้านบาท กับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการฝุ่นซึ่งถือเป็นมลภาวะหลักจากการผลิตปูนซีเมนต์ เขากล่าวว่าบริษัทออกแบบเครื่องจักรให้ฝุ่นเล็ดลอดออกมาได้เพียง 50 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเท่านั้น แม้กฎหมายจะอนุญาตให้ปล่อยได้ถึง 200 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตรก็ตาม

อีกทั้งยังรักษาทัศนียภาพของเมืองลำปางด้วยวิธีการทำเหมืองหินปูนแบบ SEMI OPEN CUT MINING นั่นคือขุดเจาะเข้าไปส่วนกลางของภูเขา แล้วเอาหินปูนจากส่วนกลางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตปูนฯ ซึ่งระบบนี้จะทำให้ยังเห็นภูเขาเป็นเขาเต็มลูก ไม่ใช่ถูกตัดหายไปเสียครึ่งหนึ่งอย่างการผลิตปูนฯ ด้วยวิธีแบบเก่า พร้อมกันนี้บริษัทก็นำกล้าไม้มาปลูกรอบบริเวณโรงงานเพื่อให้เป็นป่าที่เขียวชะอุ่ม

ยิ่งกว่านั้น ทวียังอ้างถึงผลประโยชน์ที่ชาวลำปางจะได้รับอีกด้วย ที่สำคัญก็คือการสร้างงาน สร้างรายได้ทั้งในรูปรายได้ส่วนบุคคล และภาษีต่างๆ ทั้งที่เสียกับท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง ซึ่งจะคืนกลับมาในรูปเงินพัฒนาท้องถิ่น

แม้แต่งานเปิดตัวโรงงานอย่างเป็นทางการ ก็ยังเอาใจคนลำปางด้วยการทำพิธีแบบล้านนาแท้ๆ โดยมีขบวนแห่บายสี ตีกลองสะบัดชัย และทำพิธีสืบชะตาหลวง

ทุ่มเทอย่างนี้..ไม่รู้จะชนะใจชาวลำปางได้แค่ไหน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.