|
สมคิดรับน้ำมันกระทบศก.เอกชนวอนรัฐอุ้มSMEs
ผู้จัดการรายวัน(27 เมษายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
"สมคิด"เปรยยอมรับความจริงปัจจัยลบ"น้ำมัน-การเมือง"กระทบเศรษฐกิจ แนะรัฐบาลดูแลเงินคงคลังให้เหมาะสมหลังภาษีรายได้หลังลด ระบุจีดีพีโตเท่าไหร่ไม่สำคัญขอแค่ให้โตขึ้นพอ ขณะที่"ประเสริฐ" เผยหากเกิดสงครามขึ้น น้ำมันทะลุ 100 เหรียญแน่นอน ด้านก้องเกียรติ ชี้ภาครัฐ-เอกชนต้องสร้างความน่าสนใจดึงเม็ดเงินต่างชาติลงทุนเพิ่ม เตรียมปรับเป้าดัชนีตลาดหุ้นปีนี้ลดลง "สภาอุตฯ" วอนรัฐช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง-เล็กต่อสู้ภาวะการแข่งขัน
วานนี้(26 เม.ย.) ตลาดหลักทรัพย์ได้จัดงานสัมมนาประจำปีมูลนิธิศาสตราจารย์สังเวียน ในหัวข้อ"ทางออกธุรกิจไทย...ฝ่าวิกฤตน้ำมันแพง"โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นอกจากนี้ ยังมีการสัมมนาในหัวข้อ "4 สภาธุรกิจ...เจาะลึกเศรษฐกิจยุคน้ำมันแพง" โดยมีผู้ร่วมสัมมนาประกอบด้วยนายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานหอการค้าไทย นายชาติศิริ โสภณพนิช ประธานสมาคมธนาคารไทย นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน ร่วมสัมมนา
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องพบกับปัจจัยลบต่างๆมากมายที่เข้ามากระทบการเติบโตของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจประเทศอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจัยทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้นคงหลอกกันไม่ได้ว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจแม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาจะอยู่ระดับที่ดีก็ตาม เนื่องจากยังได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่ในอนาคตคงจะต้องมีการประเมินอีกครั้งว่าจะเป็นอย่างไร ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ประมาณ 40 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลมากอยู่ที่ประมาณ 70 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ
สิ่งสำคัญของรัฐบาลในช่วงที่ประชาชนยังคงมีความกังวลจากปัจจัยต่างๆ คือเรื่องการดูแลเงินคงคลังของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการจัดเก็บภาษี เนื่องจากในช่วงที่ประชาชนยังไม่สบายใจ การจับจ่ายใช้สอย และการบริโภคลดลงซึ่งอาจจะส่งผลต่อรายได้หลักของภาครัฐ ทำให้อาจจะต้องมีการชะลอการลงทุนในโครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นในระยะเวลาอันสั้นออกไปเพื่อรักษาระดับเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ การอัตราการเติบโตของจีดีพีในปีนี้ เรื่องดังกล่าวคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่การเติบโตจะยังคงต้องมีต่อไป ขณะที่ระดับอัตราการเงินเฟ้อในปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก"จริงๆแล้วตอนนี้ประเทศเป็นช่วงที่น่าสงสาร ต้องผ่านมรสุมมาหลายครั้ง แต่ทุกอย่างไม่มีอะไรที่จะสายไปในการเข้ามาช่วยเหลือกัน ทุกฝ่ายต้องเข้ามาช่วยประคับประคองกันอย่าต้องอยู่ในภาวะที่มีแต่การแข่งขันกันเอง หน่วยงานของรัฐแม้ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบมจ.ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนแต่ก็ไม่ได้หวังผลกำไรสูงสุดจากการดำเนินงาน ขณะที่บริษัทจะต้องเร่งสร้างความแข็งแรงเพื่อเป็นแกนหลักในการหาแนวทางในการเข้ามาช่วยเหลือประชาชน"นายสมคิดกล่าว
เกิดสงครามน้ำมันทะลุ100เหรียญ
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียน กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบันได้ปรับฐานขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ประมาณ 50-60 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 60-70 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดิบสำเร็จรูปปรับตัวสูงกว่า 80 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งการปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้นคงไม่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่อเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น คือปัญหาในประเทศไนจีเรีย รวมถึงผลกระทบต่อกำลังการผลิตของประเทศสหรัฐอเมริการจากพายุเฮอริเครนที่ถล่มอ่าวเม็กซิกันในช่วงปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือเรื่องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่าน เนื่องจากเรื่องดังกล่าวอาจจะนำไปสู่การเกิดสงครามขึ้นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจจะปรับตัวสูงถึง 100 ล้านเหรียญได้ เนื่องจากผลกระทบจากสงครามจะส่งผลต่อประเทศใกล้เคียงซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหลายประเทศ
"ผมยังเชื่อว่าไม่น่าจะเกิดสงครามจากกรณีของอิหร่าน แต่หากเกิดขึ้นจริงราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน ระดับเกิน 100 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้เห็นอย่างแน่นอน"นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นประมาณ 10-12 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณลิตรละ 3 บาทแต่บริษัทผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับขึ้นเพียง 1.20 บาททำให้ต้องรับภาระขาดทุนประมาณ 2 บาทต่อลิตร
ดึงเม็ดเงินต่างชาติลงทุน
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับสูงอีกนาน ซึ่งความต้องการใช้ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำลังการผลิตไม่ทันต่อความต้องการ จึงมีการเข้าไปเก็งกำไรเกี่ยวกับราคาน้ำมันค่อนข้างมาก นอกจากนี้สินค้าที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นทองคำที่ราคาปรับขึ้นแล้วประมาณ 25% รวมถึงเพชร พลอยก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5%
ทั้งนี้ เม็ดเงินที่ยังรอเพื่อลงทุนในโลกยังมีสูงมากโดยเฉพาะเม็ดเงินจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางซึ่งได้รับผลดีจากการที่ราคาน้ำมันปรับขึ้น ทำให้หลายประเทศจะต้องเร่งสร้างความน่าสนในเพื่อดึงดูดเม็ดเงินเหล่านั้นเข้ามาลงทุนในประเทศในส่วนของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้รับอานิสงส์จากการไหลเข้ามาของเม็ดงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ขณะที่ประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียก็มีเม็ดเงินจากนอกประเทศไหลเข้ามา เช่นประเทศอินเดีย มีเงินไหลเข้ามาวันละประมาณ 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยเป็นการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ จากปัจจัยลบต่างๆสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์อาจจะต้องมีการหารือบริษัทสมาชิกเพื่อประเมินการคาดการณ์เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากปีที่ผ่านมาการประเมินช่วงต้นปีกับผลลัพธ์ท้ายปีแตกต่างกันมาก โดยจะมีการเรียกประเมินในทุกไตรมาสซึ่งคาดว่าจะมีการปรับเป้าดัชนีและตัวเลขทางเศรษฐกิจลดลงอย่างแน่นอน
สภาอุตฯหวังรัฐหนุน SMEs
นายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมไม่มีความกังวลในอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก เพราะเศรษฐกิจโลกสามารถเติบโตได้ 3-4% รวมทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐ และญี่ปุ่นซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของประเทศยังมีการเติบโตในระดับที่ดีทั้งนี้สภาอุตสาหกรรม มีความเชื่อมั่นว่านักธุรกิจในภาคส่งออกมีศักยภาพ หากภาครัฐให้การสนับสนุนเพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ อาทิ รัสเซีย ประเทศแถบตะวันออกกลาง หรืออินเดียซึ่งกำลังเจรจาเพื่อเปิดเขตการค้าเสรี (FTA)
อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตในประเทศได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนในเรื่องค่าขนส่ง ซึ่งได้มีการทยอยปรับขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะสามารถเจรจาต่อรองกับบริษัทขนส่งที่ใช้บริการประจำได้ ขณะที่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก(SMEs)ยังต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัวและการแข่งขันในส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนมีนาคมสูงขึ้นเกินกว่า105 จุด มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ดีขึ้นหลังวันเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออก
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถปรับตัวผ่านวิกฤตนี้ได้ ซึ่งหอการค้าไทยได้เสนอการแก้ปัญหาระยะสั้น โดยให้กระทรวงพลังงาน ภาคเอกชน และภาคสถาบันอื่นๆ ใช้พลังงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงภาครัฐอาจจะมีการชดเชยภาษีนำเข้าให้กับผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เช่น แอทธอนอล แก็สโซฮอลล์ที่ทำจากนำพืช ไบโอดีเซล และก๊าซธรรมชาติ หรือ NGV ที่ต้องขยายการใช้ไปยังภาคการผลิตต่างๆ รวมถึงภาครัฐต้องเข้ามาช่วยลงทุนบางส่วนร่วมกับเอกชน เช่น ท่าเรือ สถานนีรถไฟให้พร้อม โดยเรื่องราคาน้ำมันไม่ควรเข้าไปแทรกแซง ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคและการผลิตที่ไม่สมดุลกันนั้นน่าจะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจจึงยังเติบโตได้เมือพิจารณาจากสินเชื่อยังขยายตัวได้ในทุกกลุ่ม
สำหรับการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาได้มีการปรับขึ้นต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งคาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยคงจะไม่มากนัก หากเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ด้านอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ ก็คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.5% หากพิจารณาจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งการที่ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มอยู่ที่ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก็ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งในการพิจารณาว่าจะผลกระทบด้านเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ด้านการปล่อยเชื่อของธนาคารกรุงเทพเองในช่วงไตรมาสแรกยังคงเป็นไปได้ตามเป้าที่ได้ตั้งไว้
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|