แม้ว่ากลิ่นอายของสงครามล้างเผ่าพันธุ์ที่สร้างความสะเทือนมาเกือบ 20 ปี
อาจยังไม่หลงเหลือให้เห็นอยู่ในกรุงพนมเปญของกัมพูชาแล้วก็ตาม ยกเว้นสถานที่บางแห่งที่กลายเป็นตำนานความโหดร้ายยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำอันขมขื่นของชาวเขมร
กัมพูชาในวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับบางประเทศในอินโดจีนที่ผ่านสงครามมาโชกโชน
และอยู่ในช่วงระหว่างการฟื้นฟูประเทศการค้าขายเริ่มต้นอีกครั้ง
กัมพูชา จึงกลายเป็นหนึ่งในดินแดนที่ดึงดูดกลุ่มทุนจากต่างแดนทั้งหลาย รวมทั้งของไทยที่อาศัยจังหวะเหล่านี้ขยับขยายเข้าไปลงทุน
หลายรายสมหวังมีโอกาสขยับขยายธุรกิจออกไปอีก ในขณะที่หลายรายต้องพลาดหวังกับธุรกิจที่ลงไปในประเทศแห่งนี้ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป
แต่สำหรับกลุ่มสามารถแล้ว อาจถือว่าเป็นโชคของเขา
เมื่อรัฐบาลของกัมพูชาภายใต้การนำของ 2 นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติให้มีการขยายอายุสัมปทานโทรศัพท์มือถือ
ระบบเอ็นเอ็นที 900 ที่กลุ่มสามารถเข้าไปลงทุนเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว จากอายุสัมปทานเดิมที่ได้มาก
10 ปี เพิ่มอีก 25 ปี รวมเป็น 32 ปี
ผลของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มีความหมายสำหรับกลุ่มสามารถยิ่งนัก แน่นอนว่าผลดีย่อมมีมากกว่าผลเสีย
ไม่นับรวมภาพลักษณ์ของกลุ่มที่จะสะท้อนกับมาในไทยแล้ว
การขยายอายุสัมปทานเพิ่มขึ้นย่อมเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนมากกว่าการลงทุนในระยะเวลาสั้น
ๆ เพราะบริษัทมีโอกาสเก็บเกี่ยวรายได้มากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เงื่อนไขของสัมปทานก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
ส่วนแบ่งรายได้ที่บริษัทแคมโบเดียวสามารถเคยจ่ายให้กับรัฐบาล 30% ตามสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาลในบริษัทตลอดอายุสัมปทาน
ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ 3 ปีแรกจ่ายส่วนแบ่ง 7% จากรายได้ 3 ปีถัดไปจ่ายส่วนแบ่ง
12% ปี และปีต่อ ๆ ไปจ่าย 15% จนครบอายุสัมปทาน 32 ปี
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นับเป็นแต้มต่อครั้งสำคัญของแคมโบเดียสามารถ ผู้บริหารของบริษัทสามารถเล่าว่า
การใช้โทรศัพท์มือถือในกัมพูชา ส่วนใหญ่จะใช้โทรต่างประเทศถึง 50% ซึ่งรายได้ทั้งหมดนี้จะต้องหักให้รัฐบาลรายได้ที่เหลืออีก
50% จะต้องจ่ายเป็นค่าสัมปทานให้กับรัฐบาล 30% ที่เหลือจึงเป็นรายได้ของบริษัท
"เราแทบไม่เหลืออะไรเลย แต่อาศัยว่าเรามีลูกค้าเพิ่มขึ้นมาตลอด การที่ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขถือว่าเป็นประโยชน์กับเรามาก
ซึ่งเราอาจต่อรองขอหักค่าโทรศัพท์ทางไกลให้รัฐบาลลดลงเหลือ 40%" ผู้บริหารชี้แจง
เจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริษัทสามารถแคมโบเดีย เล่าว่า ธุรกิจโทรศัพท์มือถือในกัมพูชาไปได้ดี
หลังจากลงทุนไป 3 ปี ปีที่แล้วก็เริ่มมีกำไร และภายในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้
มียอดลูกค้ามากกว่า 6,000 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากกัมพูชายังต้องประสบปัญหาขาดแคลนโทรศัพท์พื้นฐาน มีให้บริการอยู่เพียงแค่
4-5 พันเลขหมาย จากประชากรที่มีอยู่ 9.9 แสนคน กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้หลายคนหันมาเลือกใช้บริการโทรศัพท์มือถือ
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนทำธุรกิจในประเทศนี้
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ระบบต่าง ๆ ในกัมพูชา 4-5 ราย อาทิ
แคมเทล ของซีพี ให้บริการระบบแอมป์ 800 บริษัท TRICALCOM ของมาเลเซีย ให้บริการระบบเอ็นเอ็มที
900 บริษัท CAMINTEL ประเทศอินโดนีเซีย และชินวัตร ให้บริการดทรศัพท์ ระบบเอ็นเอ็มที
450
แม้แนวโน้มจะไปได้ดี แต่การขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นไม่ใช่เรื่องคุ้มค่าในเชิงธุรกิจ
เพราะไม่คุ้มกับระยะสัมปทานที่เหลืออยู่อีกไม่กี่ปี จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้บริหารของกลุ่มสามารถต้องยื่นขอขยายอายุสัมปทานมาตั้งแต่ต้นปี
เพื่อแลกกับการขยายการลงทุนเพิ่มอีก 100 ล้านบาท
แต่การยื่นขอเปลี่ยนแปลงสัมปทานไม่ใช่เรื่องง่าย
เจริญรัฐ เล่าว่า ต้องบินไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ทุกระดับของรัฐบาลอยู่หลายครั้ง
และกว่าจะลงเอยลงได้ต้องอาศัยการไปเยือนกัมพูชาของนายกบรรหาร ศิลปอาชา ครั้งล่าสุดเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
สัญญาขยายอายุสัมปทานของแคมโบเดียสามารถจึงลุล่วงลงได้
สาเหตุสำคัญที่รัฐบาลกัมพูชาให้ไฟเขียว เป็นเพราะกลุ่มสามารถเป็นบริษัทเดียวที่วางเครือข่ายโทรศัพท์มือถือมากที่สุด
นอกจากกรุงพนมเปญแล้วยังขยายไปยังเมืองต่าง ๆ เช่น กัมโปงโสมพระตะบอง เสียบเรียบ
และกัมปงจาม ในขณะที่ผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ซึ่งมีอยู่ 4-5 ราย ให้บริการเฉพาะในกรุงพนมเปญเท่านั้น
อันเป็นผลพวงมาจากกลยุทธครั้งแรกที่ต้องการต่อกรกับคู่แข่งที่เข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้
คือ แคมเทล ของกลุ่มซีพี ซึ่งให้บริการเฉพาะในพนมเปญ
ข้อแลกเปลี่ยนที่สามารถแคมโบเดียให้ไว้กับรัฐบาลกัมพูชา คือ การขยายเครือข่ายไปต่างจังหวัด
อีก 2 แห่ง คือ สุวายเลียง และเกาะกง พร้อมทั้งติดตั้งเครือข่ายไมโครเวฟในการเชื่อมโยงเครือข่ายไปต่างจังหวัดแทนการใช้ดาวเทียม
ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนอีก 100 ล้านบาท
ผลการขยายในครั้งนี้ ผู้บริหารของสามารถเชื่อว่า จะทำให้จำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น
13,000 เลขหมาย คือ คิดเป็น 65% ของตลาดรวม และทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ
40%
อาการดีใจแบบสุด ๆ จึงปรากฏให้เห็นอย่างซ่อนเร้นไว้ไม่อยู่ของเจริญรัฐ พี่ชายคนโตของตระกูลวิไลลักษณ์
ที่มักจะให้ผู้เป็นน้องชาย ธวัชชัย วิไลลักษณ์ ออกโรงแถลงการณ์กับบรรดานักข่าว
ความสำเร็จในครั้งนี้ เจริญรัฐ ย้อนอดีตถึงการลงทุนในกัมพูชาว่า ยอมรับว่าเสี่ยงไม่น้อยกับการตัดสินใจมาลงทุนในกัมพูชาเมื่อ
4 ปีที่แล้ว
"เขมร 4 ปีที่แล้วเทียบไม่ได้เลยกับเวลานี้ แต่ตอนนั้นเราเห็นว่าธุรกิจในไทยของเราก็ไปได้ระดับหนึ่ง
เลยมองเรื่องขยายไปต่างประเทศ ผมกับน้องชาย (ธวัชชัย วิไลลักษณ์) ก็ปรึกษากันว่าน่าจะลองเสี่ยงเข้ามาดู"
เจริญรัฐย้อนถึงความหลัง
ผลการเสี่ยงในครั้งนั้นนับว่าคุ้มค่าไม่น้อย เพราะเวลานี้ กลุ่มสามารถได้ชื่อว่าเป็นโอปะเรเตอร์มือถืออย่างเต็มตัว
แถมมีส่วนแบ่งตลาดอันดับต้น ๆ ในตลาดมือถือของกัมพูชา
ผิดกับในไทย ที่กลุ่มสามารถยังเป็นได้แค่เซอร์วิสโพรไวเดอร์ให้กับแทค ซึ่งก็ยังมีข้อจำกัดอีกเยอะ
ส่วนการจะพัฒนาไปเป็นโอปะเรเตอร์มือถือ เช่นเดียวกับไออีซีที่ได้รับไฟเขียวไปก่อนหน้านี้
ยังไม่รู้ว่าจะลงเอยได้เมื่อใด
เมื่อเป็นโอปะเรเตอร์ในไทยไม่ได้ สู้เป็นโอปะเรเตอร์ในเขมรพลาง ๆ ก่อน หนทางคงสดใสไม่แพ้กัน