กิตติ กีรติธรรมกุล ทัพหน้าเอาใจนักลงทุนหุ้นซีพี


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

กิตติ กีรติธรรมกุล เพิ่งมาเป็นน้องใหม่ของบริษัทเทเลคอมเอเซีย ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือที่เรียกกันง่าย ๆ สั้น ๆ ว่า ซีพี ได้ไม่นานในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักลงทุนสัมพันธ์ (VICE PRESIDENT INVESTOR RELATIONS OFFICE) ซึ่งหน่วยงานนี้เพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 3 ปีเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าใหม่สำหรับในประเทศไทยที่มีหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมา นับได้ในบริษัทชั้นนำของประเทศไทยที่จะมีหน่วยงานแบบนี้นับได้คงไม่เกิน 3 แห่ง

กิตติ ได้เล่าว่า ในส่วนของเทเลคอมเอเชียนั้น ได้ตั้งสำนักลงทุนสัมพันธ์ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะแบ่งเบาภาระของผู้บริหาร เนื่องจากเทเลคอมเอเซีย หรือทีเอ เป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นผลให้บริษัทมีผู้ถือหุ้นค่อนข้างเยอะทั้งประเภทรายย่อยและสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งพวกกองทุนต่าง ๆ และโบรกเกอร์ และยังมีบริษัทวิจัยต่าง ๆ ที่ต้องการทราบว่า หุ้นของทีเอ หรือบางครั้งอาจจะถามเลยไปถึงหุ้นของซีพี ด้วยว่าเป็นอย่างไรบ้าง

สิ่งที่เขาจะให้ก็คือ ข้อมูลหรือรายละเอียดให้กับกลุ่มนักลงทุนเหล่านั้น ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างลึกอย่างพวกสถาบัน กิตติ อาจจะต้องวิเคราะห์ให้เขาฟังด้วยในบางครั้งถ้าเขาต้องการ หรือบางที่ก็จะขอมาดูงานของทีเอเลยว่า ทำงานกันอย่างไร กิตติก็มีหน้าที่ต้องตระเตรียมเอกสารเพิ่มเติมไว้ให้ด้วย

"ตอนนี้เราจะเน้นการให้ข้อมูลของเทเลคอมเอเซียมากหน่อย เนื่องจากถือว่าเพิ่งเข้าตลาดหุ้นได้ไม่นาน และมีจำนวนหุ้นที่กระจายอยู่ในตลาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นความสนใจของนักลงทุนและโดยธรรมชาติของหุ้นที่ให้บริการเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างเรา จะเป็นหุ้นที่ถือว่าเกี่ยวข้องและใกล้ชิดกับประชาชนมากหน่อย อย่างเรื่องความคืบหน้าของโครงการระบบโทรศัพท์พื้นฐานพีเอชเอส นักลงทุนก็อยากทราบความคืบหน้ามีโทรเข้ามาถาม บางทีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ลงไปว่าเราได้แล้ว แต่ยังไม่มีหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการแจ้งมาเราก็ต้องชี้แจงไปว่าความจริงเป็นอย่างไร เรารอจดหมายจากทางการอยู่นะอะไรแบบนี้ เวลาได้โครงการอะไรใหม่ ๆ มาก็จะมีโทรเข้ามาถามเป็นจำนวนมาก นักข่าวบ้าง นักลงทุนหุ้นบ้าง เพราะบางที่โทรไปถามผู้บริหาร เขาก็จะไม่มีเวลามาอธิบายได้มาก ๆ อันนี้ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตอบแทน"

กิตติ ชี้แจงถึงเนื้องานต่อไปว่า หน้าที่ของเขาไม่ใช่แบบงานประชาสัมพันธ์ แต่อาจจะดูคล้ายคลึงในแง่ของพีอาร์เฉพาะเรื่องหุ้นเพียงเรื่องเดียว แต่การตอบคำถามของนักลงทุนก็ต้องดูขอบข่ายว่าจะสามารถให้ได้แค่ไหน และพนักงานทุกคนที่อยู่ในฝ่ายนี้จะรู้เรื่องหุ้นเป็นอย่างดี พนักงานในส่วนนี้หลายคนมาจากบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์

"บางทีมีข่าวอะไรที่เกี่ยวกับบริษัทหลุดลอดไปลงหนังสือพิมพ์ก็จะมีนักลงทุนรายใหญ่ พวกประเภทสถาบันหรือรายย่อยก็ตาม จะถามทันทีตอนนี้น่าจะไปซื้อหุ้นเพิ่มไว้ดีไหม หรือทำไมถือหุ้นไว้นานแล้วทำไมไม่ขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของเราต้องอธิบายกับนักลงทุน บางรายเครียดเข้ามาเลย เราต้องชี้แจงอย่างใจเย็นเพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากทั้งกับนักลงทุนและกับตลาดหลักทรัพย์ด้วย หน้าที่ของเราก็คือ ต้องคอยเทคแคร์นักลงทุน ชี้แจงข้อมูลด้วยความจริงและพยายามให้เขาสบายใจให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือย่อยทั้งในและต่างประเทศ จะต้องเท่าเทียมและทั่วถึง"

กิตติ เล่าต่อไปว่า ส่วนงานของเขานั้นมีทั้งหมด 5 คน และทุกคนจะมีความรู้เรื่องหุ้นและการเงินเป็นอย่างดีและภาษาต้องดีด้วย เพราะต้องประสานงานกับนักลงทุนประเภทสถาบันของต่างประเทศด้วย ทุกคนพร้อมที่จะตอบและให้ข้อมูลได้ตลอดเวลา บางครั้งปุ๊ปปั๊บรับสายโดยไม่มีเวลาเตรียมตัว ทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้เสมอ ซึ่งสำนักลงทุนสัมพันธ์นั้นจะขึ้นตรงกับผู้บริหารระดับสูง คือ ดร.วีรวัฒน์ กาญจนดุล ที่จะดูแลทางด้านการเงินและดูแลฝ่ายนี้ด้วย

เดิมทีฝ่ายนี้รับผิดชอบงานทางด้านไออาร์ (INVESTOR RELATION) ของบริษัทแม่ คือ เจริญโภคภัณฑ์ จนเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว จึงมาเน้นงานของเทเลคอมเอเซียมากกว่า เพราะเป็นหุ้นที่กระจายอยู่ในตลาดเยอะและเป็นหุ้นใหม่ ก็เลยมีการโอนย้ายจากซีพีมายู่ทีเอ แต่ก็ยังทำให้ซีพีอยู่ด้วยไม่ได้ทิ้งไปเลย

สำหรับบริษัทในเครือซีพีที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ขณะนี้มีทั้งหมด 6 บริษัทด้วยกัน คือ สยามแมคโคร / บริษัทวีนิไทย / บริษัทกรุงเทพโปรดิวส์ / บริษัทเทเลคอมเอเซีย / บริษัทซีพีเอฟ และบริษัทซีพีเอ็นอี

ส่วนบริษัทใหม่ ๆ ที่เตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่อไปนั้น ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายลงทุนสัมพันธ์ ถ้าหากมีบริษัทใดที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาด ทางบริษัทแม่ คือ ซีพี ก็จะจ้างบริษัทที่ปรึกษาพวกโบรกเกอร์ดูแลจัดการให้เลย เราจะดูแลแต่เฉพาะบริษัทที่เข้าจดทะเบียนอยู่ในตลาดแล้วเท่านั้น

สำหรับสิ่งที่เตรียมจะผลักดันต่อไปหลังจากที่กิตติเข้ามาดูแลงานในส่วนนี้แล้วก็คือ โครงการให้ความรู้กับนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อย สถาบันการเงิน ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการให้ความรู้แบบทั่วไปและเฉพาะด้าน

"เราจะให้ความรู้อย่างตรงไปตรงมา ถ้านักลงทุนรายใดไม่ถนัดเรื่องหุ้นและมีงบประมาณน้อยสายป่านสั้น เราจะแนะนำให้หยุดเล่นหุ้นทันที หรือให้มืออาชีพเขาเล่นแทนให้ คือ พวกกองทุนต่าง ๆ เพราะเป็นการประกันความเสี่ยงไปในตัว"

การสัมมนาจะจัดหมุนเวียนกันไปทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่เคยจัดไปแล้วก็ที่หาดใหญ่ จ.สงขลา และที่สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้า ซึ่งร่วมกับรายการมันนี่ทอล์กของ ดร.เสรี ไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดหุ้นอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งการสัมมนาให้ความรู้ 2 ครั้งที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วไปเป็นอย่างดี และในปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่า จะจัดอีก 2-3 ครั้ง โดยตั้งงบประมาณในส่วนนี้ไว้มากพอสมควร

ทางด้านส่วนตัวนั้น กิตติ เล่าถึงตัวเขาเองว่า จบวิศวกรรมศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทางด้านอุตสาหกรรม เมื่อปี 2518 แล้วไปต่อบริหารธุรกิจทางด้านการเงินที่สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นอยู่ช่วยธุรกิจของครอบครัวเกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกระยะหนึ่ง จึงออกมาทำงานที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินอุตสาหกรรมอยู่ 3 ปี จากนั้นย้ายสายงานไปทำด้านการตลาดที่บริษัทน้ำมันโมบิลอีก 3 ปี จึงย้ายมาสายงานเก่าด้านหลักทรัพย์ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยซากูระอยู่กว่า 4 ปี จนมาจบที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ทรัสเกือบ 5 ปีจนล่าสุดถูกชักชวนมาที่สำนักลงทุนสัมพันธ์ของเทเลคอมเอเซีย

กิตติ เปิดเผยถึงทิศทางในอนาคตของตัวเองในระยะ 3-4 ปีข้างหน้าว่า เขายังมีความสุขกับการเป็นมือปืนรับจ้างต่อไป โดยไม่คิดที่จะไปประกอบธุรกิจส่วนตัว แม้ว่าจะมีแรงสนับสนุนจากธุรกิจครอบครัวของตนเองก็ตาม

"ตรงนี้ผมมีความสุขดีแล้วกับการเป็นมือปืนรับจ้างครับ" เขากล่าว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.