ฝันของ ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์ กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศผลการจัดตั้งธนาคารใหม่ออกมาแล้วว่า ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติขั้นต้นในการจัดตั้งแบงก์ใหม่นั้นมีเพียง 3 ราย คือ เอ็มบีเค พร็อพเพอร์ตี้ / กลุ่มอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ / และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จีเอฟ

ส่วนที่พลาดท่าอีก 3 ราย คือ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ซิทก้า บริษัทเงินทุนเฟิสท์ซิตี้อินเวสเม้นท์ ในเครือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และองค์การทหารผ่านศึก

แต่ ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์ ในฐานะแกนนำและถูกวางตัวให้เป็นว่าที่กรรมการผู้จัดการธนาคารทหารผ่านศึก ก็ยังไม่สิ้นหวังกับผลประกาศที่ออกมา แม้ว่าธนาคารทหารผ่านศึกจะผิดเงื่อนไขในเรื่องของผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลอันดับแรกที่ถือหุ้นเกิน 5% นั่นก็คือ องค์การทหารผ่านศึกนั่นเอง

ดร.วีระชัย ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยทีท่าเคร่งเครียดว่า ตนยังมีความหวังอยู่ แม้ว่าองค์การทหารผ่านศึกจะถือหุ้นถึง 25% แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้างเช่นกัน เนื่องจากว่ามีข้อกำหนดที่เรียกว่า พรบ.ธนาคารพาณิชย์ มาตรา 5 ทวิ ห้ามใครก็ตามถือหุ้นเกิน 5% ยกเว้นผู้ถือหุ้นที่เป็นหน่วยงานราชการ หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะรองรับอย่างสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ฯลฯ รวมตลอดถึงองค์การทหารผ่านศึก

ดังนั้น ในเมื่อจะช่วยองค์การทหารผ่านศึกกันจริง ๆ แล้ว และเป็นการช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐ ซึ่งแต่ละปีรัฐจะต้องให้งบประมาณกับองค์การทหารผ่านศึกปีละ 800-900 ล้านบาท ถ้าหากว่าองค์การทหารผ่านศึกถือหุ้นได้เพียง 5% ก็ไม่มีอะไรขึ้นมาเพราะเป็นเงินที่น้อยมากก็อยากขออาศัยมาตรา 5 ทวิให้รัฐบาลช่วยพิจารณา

"คุณบดี จุณณานนท์ รัฐมนตรีคลังท่านเคยอยู่สำนักงบประมาณมาก่อน ท่านรู้ดี ผมขอฝากความหวังไว้กับท่านด้วยเหมือนกัน เพราะถือว่าเรามีเจตนาดีซึ่งผลประโยชนที่ได้ก็เอาไปเจือจุนทหารที่บาดเจ็บ และทุพพลภาพ ส่วนที่เหลือเอกชนถือหุ้นรายละไม่เกิน 5% ถูกต้องตามเงื่อนไขทุกประการ โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ จ.ระยอง"

"ถ้าถามว่ามีประโยชน์ไหม คำตอบคือมี ถ้าศึกษาให้ลึกซึ้งจะเห็นชัดว่ามีประโยชน์มาก เพราะเมื่อมีการเปิดเสรีทางการเงิน มีการแข่งขันมากขึ้นก็จะทำให้ทุกธนาคารปรับปรุงตัวเองดีขึ้น หลักการมีอยู่ว่า ถ้าไม่แข็งแรงอย่าให้ แต่ถ้าแข็งแรงถึง 5 แห่งที่ขอมาก็ให้ทั้ง 5 ไปเลย การแข่งขันก็จะมีขึ้น จาก 15 แห่งก็เป็น 20 แห่ง และทุกธนาคารก็จะปรับตัว แล้วการบริหารงานทุกอย่างจะกระชับดีขึ้น ต้นทุนจะลดลงเมื่อต้นทุนลดลง ต้นทุนลูกค้าก็จะลดลงด้วย การบริการดีขึ้นเร็วขึ้น จะส่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้จะจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในเมืองไทยเพิ่มขึ้น"

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นประกอบด้วยองค์การทหารผ่านศึก 25% บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ศรีมิตร 5% และอีกประมาณ 20% จะเป็นการกระจายกันไประหว่างบริษัท ช.การช่าง-คุณเฉลียว อยู่วิทยา แห่งกระทิงแดง-บริษัท กันยงวัฒนา-กลุ่มศรีวราโฮลดิ้ง และดร.วีรชะชัย ที่เหลือนอกจากนั้นจะกระจายไปสู่ประชาชนทั่วไป

ส่วนการกำหนดแผนงานนั้น ดร.วีระชัย บอกว่า ในปีแรกของการดำเนินการนั้น ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องเปิดสาขาให้ได้ 10 สาขา และภายใน 3 ปีต้องได้ 65 สาขาและสาขาในกรุงเทพฯ จะต้องมีวงเงินหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท สำหรับสาขาในต่างจังหวัดจะต้องมีเงินทุนไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท สำหรับนโยบายการบริหารงานนั้นจะเป็นการบริหารในลักษณะเหมือนธนาคารทั่วไป มีธุรกรรมทางการเงิน และบริการแบบครบวงจร ซึ่งเชื่อว่า ประสบการณ์สมัยที่เป็นอดีตรองกรรมการผู้จัดการสมัยที่อยู่ธนาคารศรีนครคงจะช่วยนำพาธุรกิจให้ไปได้ดี

ทางด้านบุคลากรหรือพนักงานนั้นจะเน้นการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ เพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนบุคลากร

"เมื่อเกิดธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่อีกถึง 4 หรือ 5 ธนาคาร ปัญหาด้านการแย่งตัวบุคลากรก็คงมีสำหรับธนาคารทหารผ่านศึกได้วางนโยบายไว้ว่า จะไม่มีการแย่งชิงบุคลากรเด็ดขาด แต่จะอิงเครื่องทุ่นแรงประเภทคอมพิวเตอร์อย่างอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก สาขาธนาคารที่ปกติเคยมี 20-30 คนก็อาจใช้คนแค่ 10 คน และจะอิงแนวร่วมกับต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่"

ทางด้านชีวิตส่วนตัวนั้น ดร.วีระชัย จบการศึกษาปริญญาทั้งตรี โท เอก ทางด้านบัญชีจากสหรัฐอเมริกา และมีประวัติการทำงานที่โชกโชนทางด้านการเงินทั้งในและต่างประเทศ ถือว่าเป็นบุคคลหนึ่งในจำนวนไม่มากนักที่ชาวต่างชาติยอมรับในความสามารถเป็น ดร.ทางบัญชี เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และยังเคยดำรงตำแหน่งทั้งอาจารย์-ผู้ช่วยและรองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยชั้นนำ 3 แห่งในสหรัฐฯ และสอนหนังสืออยู่ที่นั่นเป็นเวลาถึง 6 ปี

6 ปีในฐานะผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาแก่ลูกศิษย์ ณ สถาบันการศึกษาชั้นแนวหน้าของสหรัฐฯ จำต้องยุติลงเนื่องจากต้องเดินทางกลับมาเยี่ยมคุณพ่อที่ป่วยที่เมืองไทย อันเป็นเหตุให้ต้องสละตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยท็อปเท็นอย่าง UCLA

ดร.วีระชัย บอกว่า ตอนที่กลับมาเยี่ยมคุณพ่อ มีเหตุให้ได้พลคุณธนินทร์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพีจึงชวนให้ไปทำงานด้วย ก็เลยตกลง เพื่อที่จะอยู่ดูแลคุณพ่อก่อนระยะหนึ่ง ตั้งใจว่าจะทำแค่ปีเดียว แต่ก็อยู่ที่ซีพีถึง 4 ปี ในช่วงนั้นก็ได้เป็นที่ปรึกษาให้กับคุณชาตรี โสภณพนิช บิ๊กบอสของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานสมาคมธนาคารไทย ก่อนที่จะไปรับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่กับธนาคารศรีนคร ตามคำชักชวนของคุณวิเชียร เตชะไพบูลย์

นอกเหนือจากงานระดับชาติ ดร.วีระชัย ยังมีภารกิจส่วนตัวมากมาย

"ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สำหรับงานที่ไม่มีเวลาให้ก็ต้องยอมให้มืออาชีพ หรือหาคนที่มีประสบการณ์ มีความสามารถมาทำแทน และเราคอยให้คำสนับสนุนอยู่ห่าง ๆ โดยให้เกียรติเขาบริหารงานอย่างเต็มที่ไม่เข้าไปก้าวก่าย อย่างเช่น ธุรกิจที่กำลังไปได้ดีอยู่ขณะนี้คือ การเป็นเจ้าของโรงเรียนนานาชาติรวมบัณฑิตที่พัทยา ผมก็ได้เอาครูใหญ่ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของอังกฤษมาดูแลแทน เพื่อดูแลบริหารงานโรงเรียนให้มีคุณภาพสูงสุด โรงเรียนนานาชาติรวมบัณฑิต เปิดกิจการมากว่า 2 ปีแล้ว มีนักเรียนประจำกว่า 170 คน มีคุณครูชาวต่างชาติถึง 26 คน และจะขยายงานอีกมากในอนาคตอันใกล้นี้"

สำหรับตำแหน่งทางสังคมก็มีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งท้าทายอย่างการเป็นประธานโครงการรถไฟฟ้ามหานครคนที่สอง (คนแรกคือ ดร.หิรัญ รดีศรี) หรือเป็นประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจของหอการค้าไทย เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการร่วมพัฒนาภาครัฐและเอกขนหรือ กรอ.

ส่วนตำแหน่งใหม่ล่าสุดที่ ดร.วีระชัย กำลังตามฝันตัวเองว่าจะไปถึงดวงดาวหรือไม่นั้นก็คือ ว่าที่ MD ของธนาคารทหารผ่านศึก ส่วนความฝันจะเป็นจริงหรือไม่คงจะต้องรอลุ้นกันต่อไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.