กองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาสถาบันการเงินเป็นเครื่องมือของแบงก์ชาติ
โดยเฉพาะยุคผู้ว่าวิจิตร กองทุนถูกพันเข้าไปสู่วัฏจักรการเมืองและอำนาจอย่างหลีกไม่พ้น
ขณะที่สถาบันการเงินอื่น ๆ ไม่พอใจมากยิ่งขึ้นที่ถูกระดมเงินไปอุดรอยรั่วที่ไม่น่าจะทำ
บทบาทของกองทุนถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นในหลายกรณีที่เลือกปฏิบัติต่อสถาบันที่เข้าไปถือหุ้น
ถึงเวลาต้องมาทบทวนอนาคตของกองทุนแห่งนี้ให้ถึงแก่นแล้วกระมัง!?
ตั้งกองทุนมาสิบปีเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนมา 7 คนแล้ว ที่นี่ใช้ผู้จัดการเปลือง"
สว่างจิตต์ จัยวัฒน์ ผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินคนล่าสุดเล่าให้ฟัง
น่าสังเกตว่าเจ็ดคนดังกล่าวล้วนแล้วแต่เคยผ่านฝ่ายวิชาการและฝ่ายกำกับและตรวจสอบมาส่วนใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟ ูและพัฒนาสถาบันการเงินคนแรก นภพร
เรืองสกุล อดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายกำกับตรวจสอบสถาบันการเงิน ขณะที่อดีตฝ่ายวิชาการก็มี
ดร. ศิริ การเจริญดี ดร. เกลียวทอง เหตระกูลและสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ โดยเฉพาะสุภาพสตรีสองคนหลังเคยเป็นลูกน้องผู้ว่าการธนาคารชาติ
วิจิตร สุพินิจมาก่อน (ดูตาราง 7 ผู้จัดการกองทุน)
ที่พิเศษคือสว่างจิตต์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการกองทุน เพื่อการฟื้นฟ
ูและพัฒนาสถาบันการเงินเป็นสมัยที่สอง หลังจากมีผลงานเข้าตากรรมการในสมัยแรกสามารถแก้ไขปัญหาบริษัทเงินทุนเอฟ
ซีไอ ของคุณหญิงพัชรี ว่องไพฑูรย์จนกระทั่งได้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมเข้าร่วม
"ดิฉันเป็นผู้อาวุโสคนเดียวที่ย้ายแล้วกลับมาใหม่ และอาจจะเป็นจังหวะที่มาทีไรมีข่าวดังทุกที
เช่นปลายปี 35 ก็มีกรณีวิกฤตบริษัทเงินทุนเอฟซีไอ พอมาครั้งนี้ก็มีเรื่องธนาคารบีบีซี
ก็เลยกลายเป็นว่าเราไม่ค่อยเก็บเนื้อเก็บตัวไป" สว่างจิตต์ ผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูเล่าให้ฟัง
เมื่อกองทุนช้า-พลาดท่าบีบีซี
"เขาโกหกผม" น้อยครั้งที่เจ้าสัวพิพัฒน์ ตันติพิพัฒน์พงษ์จะพูดโพล่งออกมาต่อสาธารณชนแต่คงเป็นอะไรที่เหลืออดจริง
ๆ ภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การสิ้นสุดลงได้ผลผิดจากข้อตกลงที่
"เขาผู้ทรงอิทธิพลคนนั้น" ได้รับปากไว้ว่ากรรมการใหม่ จะต้องเป็นตัวแทนของกลุ่มตันติพิพัฒน์พงษ์
ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่แต่พลิกล็อคกลายเป็น ม.ร.ว. ดำรงเดช ดิศกุล
และ ม.ร.ว. ดำรงเดช ดิศกุล และ ม.ร.ว. อรอนงค์ เทพาคำไป
เรื่อนี้เกิดขึ้นเมื่อวันประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ 26 เมษายนที่ผ่านมากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินตายน้ำตื้น
เสียท่ากลุ่มเกริกเกียรติที่กุมอำนาจต่อโดยมีกรรมการ 11 คนจาก 15 คน ในขณะที่ธนาคารชาติคุมแค่
3 เสียงเท่าเดิม ทำให้แผนการฟื้นฟูบีบีซีต้องล่าช้าไปอีกจากเดิมที่นับว่าช้ามาก
ความล่าช้าของแบงก์ชาติในการแก้ปัญหาที่ตรวจเจอตั้งแต่ปี 2534 จนถึงปัจจุบันที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติ
วิจิตร สุพินิจได้ใช้อำนาจสั่งการตามมาตรา 24 ทวิ. ทั้งหมดถึง 5 ครั้งทักท้วงให้รับเร่งแก้ไขปัญหาแต่คำสั่งไม่ถือเป็นการแก้ไขปัญหาเด็ดขาดเหมือนกรณี
บง. เอฟซีไอ โดยผู้ว่าการวิจิตรมักอ้างว่ากลุ่มเกริกเกียรติให้ความร่วมมือแก้ไขปัญหา
แต่ความจริงกลุ่มนี้กลับปกปิดหนี้เสียที่เพิ่มพูนจากสินเชื่อด้อยคุณภาพไม่ต่ำกว่า
77,968 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหนี้สูญ 19 ล้านบาทหนี้จัดชั้นสงสัย 19,730 ล้านบาท
หนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน 25,931 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อเทคโอเวอร์มีความเสี่ยงสูง
32,688 ล้านบาท
"ก็คงไม่มีปัญหาเมื่อถึงจุดนี้ แต่ตอนนั้นมีอะไรที่เข้าใจผิดกันนิดหน่อยกลายเป็นปัญหาใหญ่โตที่ว่า
กองทุนไม่ไปทำให้เป็น 42% จริง ๆ ตรงนั้นเราไม่มีส่วนเลย" เสียงปฏิเสธของผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน
กรณีธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การถือเป็นกรณีแก้ไขปัญหาสไตล์ซอฟท์แลนดิ้งของผู้ว่าการวิจิตร
ที่ประเมินสถานการณ์และคนว่าควบคุมได้ จนกระทั่งเกิดกระบวนข่าวการเปิดโปงสายสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์ระหว่างผู้ว่าการวิจิตรกับธนาคารกรุงเทพฯ
พาณิชย์การ โดยเฉพาะมีหลักฐานผู้ว่าการวิจิตรกู้เงินโอดีวงเงิน 5 ล้านบาทจากธนาคารกรุงเทพฯ
พาณิชย์การ
ข่าวนี้ดีสเครดิตผู้ว่าการธนาคารชาติอย่างแรงพอ ๆ กับการซื้อหุ้น บงล.
นครหลวงเครดิตในราคาพาร์ นับว่าเป็นเรื่องหนักใจที่ประธานกองทุนอย่างผู้ว่าวิจิตรต้องพยายามอย่างหนัก
ที่จะต้องฟื้นฟูภาพพจน์ตัวเองให้มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือมือสะอาดก่อนผ่าตัดคนอื่น
แต่ผู้ว่าการวิจิตรยืนยันถือเป็นเรื่องปกติไม่ผิดจรรยาบรรณเพราะลงทุนอย่างโปร่งใสสามารถตรวจสอบข้อมูลได้
"การลงทุนของผมอยู่ภายใต้ระเบียบปฏิบัติฉบับนี้" ฉบับที่ผู้ว่าวิจิตรอ้างคือคำสั่ง
ธปท. ฉบับที่ 7/2533 ที่กำหนดเงื่อนไขถือหุ้นจดทะเบียนต้องลงทุนระยะยาวและชอบธรรม
กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้เสียแล้ว ผู้ว่าการวิจิตรจึงต้องอดทนต่อกระแสกดดันทางการเมืองเร่งปลดชนวนระเบิดจากธนาคารกรุงเทพฯ
พาณิชย์การก่อนที่ตัวเองจะถูกปลด
"จริง ๆ กองทุนเรามีผู้แทนไปบริหารธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ คือคุณชูศรี
แดงประไพ ผู้ช่วยผู้ว่าการคือท่านจะประสานกับฝ่ายกำกับ และตรวจสอบคือขณะนี้ทางฝ่ายจัดการกองทุนไม่ได้เข้าไปร่วมเรื่องบริหารแก้ไขปัญหา
ขณะนี้เราทำแค่เอาเงินเข้า และมีตัวแทนก็ซึ่งผู้ช่วยฯ ชูศรีประสานงานกับฝ่ายกำกับและตรวจสอบในการแก้ไขปัญหา
และถ้ามีกรรมการผู้อำนวยการอีกคนไปช่วยเสริมให้แก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นกองทุนฯ
จึงเป็นทัพเสริมในแง่ของเงินทุน" ผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินเล่าให้ฟัง
ตั้งแต่กลางปี 2538 หลังจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุน
พบว่าทุก ๆ อาทิตย์ธนาคารชาติได้ "ทักท้วง" เรื่องปล่อยสินเชื่อรายใหญ่และเพิ่มทุนตลอดแต่ไม่มีผลเชิงปฏิบัติเด็ดขาด
จนกระทั่งแรงกดดันทางการเมืองได้บีบให้อดีต รมว. คลังสุรเกียรติ์ต้องตั้งคณะกรรมการควบคุมตามข้อเสนอของหม่อมเต่า
โดยมีพชร อิศรเสนา ณ อยุธยาเป็นประธานคณะกรรมการควบคุม ผู้มีอำนาจเต็มในการจัดการปัญหาบีบีซี-ปลดเกริกเกียรติเมื่อไม่มาเคลียร์ตามนัด
หลังจากที่แผนการปลดสุรเกียรต์ เสถียรไทยขณะที่ลาพักร้อนที่ฮ่องกงเมื่อวันที่
26 พฤษภาคมแล้ว บรรหารได้แต่งตั้งบดี จุณนานนท์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังแทนแผนสองของบรรหาร
คือการปลดผู้ว่าการวิจิตรอย่างสมเหตุสมผล เพียงแต่รอคนใหม่ที่ทาบทามไว้ คาดว่าแคนดิเดทคนสำคัญนั้นจะเป็นโฆษิต
ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ อดีตที่ปรึกษาพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และกรรมการบริหารแบงก์กรุงเทพในปัจจุบัน
ล่าสุดเงินทุนที่ธนาคารชาติเสริมสภาพคล่องให้แก่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การและบริษัทในเครือกว่า
25,000 ล้านบาทผ่านกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินเข้าไป หลังจากธนาคารพาณิชย์ต่างไม่กล้าเสี่ยงปล่อยกู้ให้โดยไม่มีใครค้ำประกัน
ยกเว้นธนาคารมหานครของเจริญ สิริวัฒนภักดีที่ให้ความร่วมมือปล่อยกู้ให้บ้าง
ซึ่งสร้างความพอใจให้กับผู้ว่าการวิจิตรพอควร
ในการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของบีบีซีจำนวน 500 ล้านหุ้นเมื่อวันที่ 16-22
เมษายนที่ผ่านมา เจริญ สิริวัฒนภักดีได้รุกซื้อหุ้นบีบีซีเพิ่มจาก 5% เป็น
10% ในช่วงราคาตกต่ำประมาณ 16-17 บาทเศษ เพราะเห็นว่าน่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีในอนาคต
หลังจากที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินส่งคนเข้าร่วมบริหารและผ่าตัดโครงสร้างการดำเนินธุรกิจใหม่
แต่วัตถุประสงค์การซื้อหุ้นเจริญต่างกับกลุ่มตันติพิพัฒน์พงษ์ ตรงที่เจริญลงทุนแบบซื้อมาขายไป
ขณะที่กลุ่มหลังหวังแป็นกรรมการร่วมบริหารธนาคาร
เบื้องหลังขายหุ้นมหานครและ SCIB กองทุนกระเป๋าแฟบ-มีแต่ที่ดิน
เจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของกิจการสุรามหาราษฎรและธนาคารมหานคร เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่นิยมเก็บซื้อหุ้นธนาคารเล็กธนาคารน้อยไว้โดยเฉพาะกลยุทธ์ลงทุนในธนาคารที่มีกองทุน
เพื่อการฟื้นฟูเข้าไปเพราะเจริญอาจถือว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาสถาบันการเงินคือดัชนีชี้ขุมทรัพย์
ซึ่งเจริญก็ได้เม็ดเงินกำไรเป็นกอบเป็นกำจากการลงทุนซื้อหุ้นธนาคารที่กองทุนอุ้มทั้ง
5 ธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นธนาคารมหานครที่เจริญร่วมกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟ ูและพัฒนาสถาบันการเงิน
หุ้นธนาคารนครหลวงไทย หุ้นธนาคารเอเชีย หุ้นธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การและหุ้นธนาคารกรุงไทย
"คุณเจริญท่านเข้าร่วมช่วยกันกับกองทุนแก้ปัญหาธนาคารมหานคร ณ จุดที่เข้ามาฟื้นฟู
คุณเจริญเขามีฐานธุรกิจที่จะช่วยให้สินเชื่อมีคุณภาพ ตอนนี้ผลดำเนินงานดีมาก
จ่ายปันผลในอัตราสูง" ผู้จัดการกองทุนเล่าให้ฟัง
ล่าสุดหุ้นธนาคารมหานครที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินถืออยู่
15.25% จะขายให้สำนักงานทรัพย์สินในราคา 8.50 บาทนั้นก็ยังค้างคากันอยู่เพราะเงื่อนไขเกี่ยวกับการขายคืนก่อน
5 ปียังไม่ชัดเจน ทั้ง ๆ ที่ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินฯ ดร. จิรายุ อิศรางกูร
ก็ยืนยันว่าเป็นการลงทุนระยะยาว หากจะขายคืนก็จะขายแก่กองทุน เพื่อการฟื้นฟ
ูและพัฒนาสถาบันการเงินในราคาที่ซื้อมารวมเงินที่ สนง. ทรัพย์สินจะซื้อก็ประมาณ
2,600 ล้านบาท แต่ถ้าเปิดประมูลขายในราคาตลาดดีสเคานท์ 30% ขณะนี้ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินจะมีเงินเข้ามาเพิ่มอีก
3 พันกว่าล้านบาท
"มีเหตุผลอะไรที่กองทุนจะต้องขายให้ในราคา 8.50 บาท ทั้ง ๆ ที่ถ้าเราถือต่อไปเราจะได้รับเงินปันผลจากธนาคารมหานครถึง
400 ล้านบาทอยู่แล้ว" แหล่งข่าวในกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินกล่าว
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่คาดว่าประธานกองทุนอย่างผู้ว่าการวิจิตรตัดสินใจขายหุ้นธนาคารมหานครแก่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ในราคาต่ำน่าจะมาจากปีกาญจนภิเษกเฉลิมฉลองในหลวงครองราชย์ 50 ปี
ผู้ว่าการวิจิตรคงเล็งเห็นแล้วไม่มีจังหวะเวลาใดที่เหมาะสมมากเท่าวโรกาสครั้งนี้แล้ว
สอดคล้องกับการปรับภาพพจน์ในสถานการณ์กดดันให้ตนเองต้องลาออกด้วย
สำหรับหุ้นธนาคารนครหลวงไทยที่กองทุนถืออยู่ 8.54% และผู้บริหารได้คืนซอฟท์โลนแก่ธนาคารชาติก่อนกำหนดชำระไปต้องแต่ต้นปีที่แล้ว
คาดว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินจะทะยอยขายหลังธนาคารกรุงไทย
เพื่อระดมเงินทุนมาช่วยกอบกู้ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ
"ตั้งแต่เราเข้าไปช่วยซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ
เราก็ต้องมีสภาพคล่องส่วนหนึ่ง ที่เราเตรียมไว้เป็นเงินส่วนหนึ่งที่มาจากสินทรัพย์หมุนเวียนของเรา
เพราะว่าสินทรัพย์อื่น ๆ มันเป็นรูปหุ้นธนาคารที่เรามี ณ จุดนี้มีแนวโน้มที่จะต้องขายหุ้นออกไปบ้าง
เพราะที่ดินขายได้ยากขณะนี้" สว่างจิตต์เล่าให้ฟัง
ตามกฎหมายกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสามารถระดมเงินทุนได้โดยการออกพันธบัตรซึ่งสามารถนำมากู้ยืมในตลาดอาร์/พีได
้และเป็นที่ต้องการของตลาดเงิน ซึ่งแนวคิดนี้จรุง หนูขวัญ รองผู้ว่าการกล่าวว่าอยู่ในขั้นศึกษาความเป็นไปได้
"ตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็น เพราะการออกพันธบัตรมันมีแต่ต้นทุน ถ้าไม่จำเป็นจริง
ๆ เราจะไม่ทำ แต่ต่อไปถ้าหากเราหมดหนทางจริง ๆ เราอาจจะมาบริหารเงินโดยออกพันธบัตรต่อไป"
ผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินเล่าให้ฟัง
ขายเอราวัณทรัสต์ งานสุดท้ายในโครงการ 4 เมษา
จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินฯ ผู้ว่าการวิจิตรในฐานะประธานได้อนุมัติแนวทางขายหุ้นสถาบันการเงินที่กองทุนถือหุ้นอยู่
กลุ่มสถาบันการเงินที่กองทุนขายโดยวิธีเปิดประมูลซึ่งไล่ราคาหุ้นในกระดานให้สูงขึ้น
ได้แก่ ธนาคารเอเชียที่กองทุนได้เปิดประมูลขายหุ้น 15% หมด โดยกลุ่มเอกธนกิจได้ชัยชนะไป
ขณะที่หุ้นธนาคารกรุงไทยนั้นทางกลุ่มภัทรธนกิจประมูลได้ไป
"ตอนที่กลุ่มเอกธนกิจประมูลชนะโดยหลักการแล้วเราพยายามมิให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามา
เพราะไม่อยากให้กระทบการบริหารของกลุ่มเดิมเขา โดยเราตั้งเกณฑ์แยกเป็นกลุ่มย่อย
ๆ แต่ปรากฏว่าเขาไปถือในนามคนนั้นคนนี้ แต่ตรงนั้นเรามีเงื่อนไข SIENT PERIOD
ว่าจะขายหุ้นไม่ได้เป็นเดือน" ผู้จัดการกองทุนฯ เล่าให้ฟัง
สำหรับ บงล. ไอทีเอฟ ซึ่งกลุ่มกฤษดามหานครชนะการประมูลไปตั้งแต่ปี 2535
ส่วน บงล. ธนไทยและ บงล. เอกชาติขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมหลังจากคืนซอฟท์โลนให้ธนาคารชาติ
และตัดบัญชีขาดทุนสะสมหมด ปัจจุบันกองทุนถืออยู่ 2.85% ในธนไทย ส่วน บงล.
นิธิภัทรขายคืนกลุ่มเดิม 19.23%
ล่าสุด บง. ทรัพย์ทวีทรัสต์ขายให้แก่กลุ่มเหตระกูล 800 ล้านบาท สำหรับ
บง. เอราวัณทรัสต์ กองทุนแบกรับภาระที่ดินไว้แล้วขายใบอนุญาตให้กลุ่มดาราเหนือของประภาส
อดิสยเทพกุล ผู้มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับนายพลผู้มีอิทธิพล ประภาสเป็นเจ้าของอาณาจักรการค้ากลุ่มทีไอพี
และบริษัทดาราเหนือ
"การที่เราเข้าไปประมูลได้ เพราะเห็นว่าเป็นทรัสต์ขนาดกลางพอดี และช่วง
2-3 ปีนี้เราขยายตัวสูง ถ้าเรามีไฟแนนซ์ของตัวเองสักแห่งแล้วให้มืออาชีพทำ
ก็ถือว่าเป็นฐานธุรกิจ ส่วนที่ทีไอพีให้ดาราเหนือเข้าไปแทน เพราะราคาประมูลที่ทีไอพีเสนอนั้นสูงเกินไป
ในเมื่อทีไอพีมีหุ้นในดาราเหนือแล้ว ทำไมทีไอพีถึงจะต้องเป็นเจ้าของทรัสต์แต่เพียงผู้เดียว
เราจึงให้บริษัทมหาชนอย่างดาราเหนือเข้าไป เพราะเพิ่มทุนได้และทำวอร์แรนซ์หาเงินได้
ถ้าไม่พอดาราเหนือยังมีที่ดินอีกมาก ตอนนี้เราไม่รีบเพราะเอราวัณทรัสต์ถือเป็นการลงทุนระยะยาว
10 ปี" ประภาสเล่าให้ฟัง
ปัจจุบันสถาบันการเงินเจ้าปัญหาดังกล่าวก็ดำเนินธุรกิจแบบช่วยตัวเองได้แต่มีบางกรณีไอทีเอฟร้องขอให้กองทุน
เพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาสถาบันการเงินช่วยเสริมสภาพคล่องเงินทุนตอนได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์เอฟซีไอ
ส่วนกรณีกลุ่มเอกธนกิจประมูลหุ้นธนาคารเอเชียไปได้ แต่เข้าไปไม่นาน ผู้ถือหุ้นเก่าหวาดระแวงและเกิดความขัดแย้งกับกลุ่มใหม่
ตรงนี้จึงเป็นข้อที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินพยายามมิให้เกิดโดยตั้งเงื่อนไขผู้ประมูล
และมีเงื่อนเวลาที่ห้ามซื้อขายภายในระยะเวลาที่กำหนด
ฟ้องกองทุนฯ 29 ล้านคดีเอฟซีไอ
"ตอนที่ขาย เราประกาศหลักเกณฑ์ว่า ผู้ถือหุ้นเดิมต้องมาใช้สิทธิ์ตามช่วงเวลานั้น
ๆ แต่เรามีข้อยกเว้นว่าจะไม่ให้สิทธิ์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของกิจการเดิมหรือกลุ่มรัตตะไพทูรย์
เพราะผู้ถือหุ้นที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับผู้บริหารเดิม เราตัดสิทธิ์ตั้งแต่แรกแล้ว"
สว่างจิตต์ จัยวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายจัดการกองทุนแห่งแบงก์ชาติเล่าให้ฟังถึงมาตรการฟื้นฟูบริษัทเงินทุนเอฟซีไอของคุณหญิงพัชรี
และวีระนนท์ ว่องไพฑูรย์
เผอิญหุ้นของเกริกชัย ซอโสตถิกุลซึ่งขณะนี้เป็นโจทย์ฟ้องกองทุนฟื้นฟูเรียกเงินค่าเสียหาย
29 ล้านบาทจากการถูกกองทุนฯ ตัดสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ 9 แสนหุ้นเพราะชื่อของเกริกชัยอยู่ในบัญชีดำกลุ่มบริษัทของคุณหญิงพัชรี
คือบริษัทรัตตะไพทูรย์ ทางกองทุนฟื้นฟูฯ จึงตัดสิทธิ์ไปแต่เหตุผลของเกริกชัยอ้างว่าได้ถือหุ้นเอฟฟีไอ
6.5 ล้านหุ้นโดยถูกต้องแล้วนำเอาหุ้นเอฟซีไอไปวางค้ำประกันเงินกู้จาก บงล.
ไทยรุ่งเรืองทรัสต์และศรีมิตร แต่ตอนที่เกริกชัยไปวางค้ำนั้น ไม่ได้โอนชื่อเป็นของตนเอง
หุ้นจึงติดอยู่ที่บริษัทรัตตะไพฑูรย์ซึ่งพัวพันกับคดีปั่นหุ้นอย่างแรง
"ตอนที่เราขายคืนให้สิทธิ์กับผู้ถือหุ้นรายย่อย เราตัดพวกนี้ไปแล้ว
ไม่ได้เอามารวมด้วย เหลือเท่าไรก็เอามากระจายให้ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ ดังนั้นหุ้นของคุณเกริกชัยจึงถูกตัดไปตั้งแต่ต้น
ถือว่าเป็นเรื่องที่เขาไม่ดูแลสิทธิ์ของตนเอง ทำไมไม่โอนเข้าชื่อตัวเองให้เรียบร้อย
เขาจะมาอ้างว่าเขาไม่ทราบว่าจะเกิดเรื่องนี้ไม่ได้" ผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูเล่าให้ฟัง
ดังนั้นสิทธิ์ที่เกริกชัยฟ้องจึงเกิดขึ้นหลังจากทุกอย่างจบลงไปแล้ว เกมนี้เกริกชัยจึงต้องไล่เบี้ยไปฟ้องไทยรุ่งเรืองทรัสต์ด้วยกับพวกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่า
ทำไมไม่โอนเข้าชื่อที่เขาเป็นเจ้าของหุ้น เป็นลักษณะโอนลอยไว้ พอมาโยงถึงการขอใช้สิทธิซื้อหุ้นจากกองทุนจึงไม่ได้
เพราะว่าชื่อของเกริกชัยถูกตัดสิทธิ์ตั้งแต่แรกแล้ว
ความจริง ก่อนหน้าที่เกริกชัยนั้นมีเหตุการณ์หนึ่งที่ผู้เสียหายฟ้องกองทุนฟื้นฟูแล้วชนะ
โดยกลุ่มคน 6-7 คนอ้างว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปั่นหุ้นซึ่งเจ้าหน้าที่กองทุนฟี้นฟูมองว่าพวกนี้ทำความเสียหายให้กับการลงทุน
แต่เหมือนปาฎิหารย์ ปรากฏว่าทางกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ได้ทบทวนพิจารณาดูแล้วว่า
ไม่ได้เข้าเกณฑ์ตัดสิทธิ์จึงยอมให้สิทธิ์ซื้อจากกองทุนฟื้นฟูไปได้
"คุณเกริกชัยคงเห็นว่ากลุ่มนี้ฟ้องแล้วได้สิทธิ์ เขาจึงฟ้องบ้าง แต่เขาไม่ได้ไปดูว่า
เขาเกี่ยวข้องกับกลุ่มรัตตะไพฑูรย์ซึ่งเป็นผู้บริหารเดิมของเอฟซีไอ ตรงนี้จะมาอ้างสิทธิ์ก็ไม่ได้"
ผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูกล่าว
ขณะที่คดีดำเนินไป การติดตามทวงหนี้สินมูลค่า 4 พันล้านบาทจากผู้บริหารเดิมของเอฟซีไอก็ยังเป็นภารกิจหลักของกองทุนฟื้นฟู
เพราะปรากฏว่างวดเงินนำส่งจำนวน 600 ล้านบาทนั้นขาดการชำระไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว
"คุณหญิงพัชรีและสามีคุณวีรศักดิ์ (ป่วยหนักเป็นอัมพาต) ขณะนี้ก็ขอผ่อนผันชำระหนี้มูลค่า
4 พันกว่าล้านบาท ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5 พันกว่าล้านบาท ขณะเดียวกันเราก็ต้องดูแลทรัพย์สินเช่นที่ดินที่เชียงรายซึ่งต้องตีรั้วกันการบุกรุก
ตอนนี้เราคงไม่ถึงขั้นต้องฟ้องล้มละลาย ทางคุณหญิงพัชรีก็มีติดต่อมาบ้าง"
สว่างจิตต์ จัยวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายจัดการกองทุนของแบงก์ชาติเล่าให้ฟัง
ใช่หรือไม่งานกองทุนฯ แค่ "เสมียน"?
ฐานะของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นนิติบุคคลในธนาคารชาติ ที่มีคณะกรรมการจัดการกองทุน
ประกอบด้วยผู้ว่าการวิจิตร สุพินิจเป็นประธาน และหม่อมเต่า ม.ร.ว. จัตุมงคล
โสณกุลเป็นรองประธาน พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีก 6 ท่านเป็นกรรมการด้วย
โดยสว่างจิตต์เป็นเลขานุการ
สำหรับหน่วยงานเล็ก ๆ แต่ทรงพลังเงียบ ๆ ในแต่ละครั้งที่มีข่าวการเข้าไปแก้ไขวิกฤตการณ์สถาบันการเงิน
และเป็นแหล่งเงินทุนของนายธนาคารพาณิชย์ทั่วไปน่าจะมีศักดิ์ศรีและอิสรภาพมากกว่านี้แทนที่จะเป็นแค่เพียง
"งานเสมียน" ที่แล้วแต่เจ้านายจะต้องการอย่างไร และผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินก็กินตำแหน่งเทียบเท่ารองผู้อำนวยการฝ่ายเท่านั้น
เป็นหน่วยงานเล็ก ๆ ที่อยู่ชั้นล่างของธนาคารชาติ ทำหน้าที่เป็นฟูกไว้รองรับทรัสต์ล้มธนาคารล้ม
รับกระเป๋าซ้ายจากการเรียกเก็บสถาบันการเงินร้อยละ 0.1% ของยอดเงินฝาก แล้วจ่ายกระเป๋าขวาแก่สถาบันที่มีปัญหาเสียหายหนัก
แหล่งที่มาของเงินกองทุนก็เรียกเก็บสะสมจากธนาคารพาณิชย์ไทย 15 แห่ง ธนาคารต่างชาติ
14 แห่ง บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 91 แห่ง บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
14 แห่ง
เงินทองที่ไหลเข้า-ออกกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินในสิบปีเพิ่งจะมีการแง้มตัวเลขเล็ก
ๆ น้อย ๆ ให้สาธารณชนทราบว่า มีเงินที่เก็บได้จากสถาบันการเงิน 13,561 ล้านบาท
เงินสมทบธนาคารชาติ 3,000 ล้านบาทและเงินสำรองเพื่อแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน
11,221 ล้านบาท และกำไรสะสม 1,132 ล้านบาทรวมแล้วเมื่อสิ้นปี 2537 กองทุนมีเงินสะสมทั้งหมด
28,914 ล้านบาทซึ่งเทียบสัดส่วนเงินกองทุนดังกล่าวกับเงินฝากและเงินกู้ยืมทั้งระบบจะเท่ากับ
0.778%
"เมื่อใดที่เรามีหลักประกันขนาดเงินกองทุนใกล้เคียงเป้าหมาย 1% ของเงินฝากเมื่อนั้นทางคณะกรรมการจัดการกองทุนก็คงพิจารณาข้อเรียกร้องของสถาบันการเงินที่ขอลดเงินนำส่ง
หรือจ่ายตามอัตราเสี่ยงมากน้อยของแต่ละแห่ง แต่ ณ จุดนี้ยังมีความจำเป็นอยู่
เรามีภาระที่ต้องช่วยสถาบันการเงินที่มีปัญหา" ผู้จัดการกองทุนกล่าว
ที่ผ่านมาในรอบสิบปี กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินต้องเข้าไปพยุงฐานะธนาคารที่อาการร่อแร่ถึง
6 ธนาคารจากจำนวนธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด 15 ธนาคาร นับตั้งแต่ธนาคารเอเชียทรัสต์
ธนาคารมหานคร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารเอเชียและธนาคารกรุงเทพฯ
พาณิชย์การ
ส่วนใหญ่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินใช้วิธีการเพิ่มทุนและให้กู้ยืมโดยมีหลักประกันแก่ธนาคารสยามและธนาคารนครหลวงไทย
ส่วนธนาคารมหานครที่ขาดสภาพคล่องก็ช่วยโดยฝากเงิน
นอกจากนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินยังอุ้มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
บริษัทเงินทุน และเครดิตฟองซิเอร์รวม 18 บริษัท (ดูตารางสถาบันการเงินที่กองทุนอุ้ม)
ส่วนใหญ่เป็นบริษัทในโครงการ 4 เมษา 2527 แต่ที่หนักหนาสาหัสถึงขั้นเพิกถอนมีอีก
4 บริษัท ที่กองทุน เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินต้องรับภาระจ่ายเงินคืนผู้ฝาก
240 รายเป็นเงิน 129.4 ล้านบาท
ไม่เคยปรากฎตัวเลขผลดำเนินงานกองทุนเพื่อการฟื้นฟูอย่างเปิดเผย จนเกิดข้อเรียกร้องจากสมาคมธนาคารไทยโดย
ดร. โอฬาร ไชยประวัติ ต้นความคิดเรื่องสถาบันประกันเงินฝากตั้งแต่ทำงานอยู่ธนาคารชาติก็ออกมาเรียกร้องให้
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินควรจะถึงยุคโปร่งใสได้แล้ว พร้อมกับเสนอตัวแทนสมาคมธนาคารไทยร่วมเป็นกรรมการด้วย
และกำหนดอัตราเงินนำส่งตามอัตราเสี่ยงของแต่ละธนาคารแทนที่จะเหมารวมเก็บแห่งละ
0.1%ที่ทำให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบทางธุรกิจ และที่สำคัญเงินกำไรหดหายเพราะเงินนำส่งที่คิดจาก
0.1% ของเงินฝากธนาคารใหญ่อย่างเช่นธนาคารกรุงเทพก็ตกประมาณปีละ 700 ล้านบาทซึ่งแบ่งจ่ายสองงวดต่อปี
ความจริงตามกฎหมายกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินสามารถจัดเก็บได้ถึง
0.5% แต่แค่นี้สถาบันการเงินก็โวยกันทุกครั้งที่ถูกบังคับ
"เขาโวยกันมาตลอดว่า เมื่อไหร่เราจะเลิกเก็บหรือจะลดให้เขา ตอนนี้เราเก็บอยู่
0.1% เราบอกว่าลดไม่ได้เพราะมีภาระต้องช่วยสถาบันการเงินที่มีปัญหา"
ผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินเล่าให้ฟัง
ตราบใดที่ธนาคารชาติยังยึดหลัก "ธนาคารล้มไม่ได้" ตราบนั้นกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินก็ยังอยู่แต่ในอนาคตธนาคารล้ม-ทรัสต์ปิดอาจจะเกิดขึ้นทำความเสียหายแก่ระบบสถาบันการเงินที่มีผู้เล่นเพิ่มมากขึ้นตามการเปิดเสรีทางการเงิน
น่าจะมีการทบทวนใหม่เกี่ยวกับการบริหารบทบาทของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินให้ทันกับยุคสมัยโลกาภิวัฒน์ปี
2000 นี้
สถาบันประกันเงินฝาก จุดเปลี่ยนช่วยคนฝากเป็นหลัก
โฉมหน้าใหม่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูอาจเปลี่ยนไป เพื่อปรับให้ทันการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์สถาบันการเงินล้มในปี
2000 เนื่องจากประสบการณ์และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นและธุรกรรมซับซ้อนมีความเสี่ยงสูงขึ้นขณะที่ผู้ฝากเงินต้องเสี่ยงมากขึ้น
เมืองไทยไม่เคยมีสถาบันประกันเงินฝากอย่างเป็นทางการมีแต่เพียงเสนอ "ร่าง
พ.ร.บ. สถาบันประกันเงินฝาก " เข้าวาระการประชุมของรัฐสภาเมื่อปี 2524
ที่เป็นผลมาจากบริษัท ราชาเงินทุนล้ม แต่ฝันไม่เป็นจริง ร่าง พ.ร.บ. นี้ต้องตกไปเพราะงานสถาบันซ้ำซ้อนกับแบงก์ชาติ
สถาบันการเงินไม่อยากเสียเงินและความหวาดระแวงของแบงก์และบริษัทเงินทุนที่กลัวว่าคู่แข่งที่อ่อนแอจะขยายตัวได้
เพราะความมั่นใจของผู้ฝากเงิน
ทศวรรษหน้าของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู แบงก์ชาติต้องเลือกช่วยผู้ฝากเงินก่อนเพื่อหยุดยั้งผลกระทบเป็นลูกโซ่จากการที่ผู้ฝากไม่ไว้ใจ
ขณะเดียวกันสนับสนุนให้มีการออมทรัพย์มากขึ้น และต่อไปนี้แบงก์ชาติก็สามารถให้มีสถาบันการเงินใหม่ได้แล้วปล่อยให้สถาบันการเงินบางแห่งล้มถ้าแน่ใจว่าคนจำนวนมากจะได้รับเงินคืน
เมื่อมีสถาบันประกันเงินฝากที่จะช่วยเหลือผุ้ฝากเงินเป็นหลัก แทนที่จะอัดฉีดเงินเป็นหมื่น
ๆ ล้านพยุงฐานะสถาบันการเงินอย่างที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูถือเป็นภารกิจแรก
แต่ ณ เวลานี้ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูจะจำกัดบทบาทตัวเองเพียงแค่ "เสมียน"
ที่รับ-จ่ายเงิน-และเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อีกไม่ได้แล้ว จำเป็นจะต้องฟื้นฟูพัฒนาตัวเองให้ก้าวสู่ความเป็นสถาบันประกันเงินฝากที่มีอำนาจหน้าที่
และอิสระในการบริหารกองทุนให้สามารถรองรับความเสี่ยงได้มากกว่าที่เคยเป็นมาในทศวรรษที่แล้ว