ในโครงการเมืองประชาบนถนนกรุงเทพฯ-ปทุมธานีนั้นคอนโดมิเนียมค่อนข้างขายยากเราผิดพลาดไปหน่อยเรื่องคำนวณความต้องการที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียม
ของคนในย่านนั้นเพราะในขณะที่ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวเรามียอดขายที่ดี แต่คอนโดเรากลับมีเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง"
สุนทร โภคาชัยพัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทชัยพัฒน์กรุ๊ป กล่าวยอมรับถึงสถานการณ์คอนโดมิเนียมในโครงการเมืองประชาโครงการแรกที่มีจำนวนหน่วยประมาณ
1,000 ยูนิต และได้เปิดขายไปตั้งแต่ปี 2535 แต่ยังมีจำนวนหน่วยเหลืออยู่กว่า
30% ในขณะที่ยอดขายทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวกลับลื่นไหลไปได้เรื่อย ๆ
คนในทำเลนั้นต้องการที่อยู่ในลักษณะของทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวมากกว่า
คือความจริงที่สุนทรค้นพบ ประกอบกับ บนถนนติวานนท์ แจ้งวัฒนะ เลยเรื่องไปยังเส้นกรุงเทพฯ
ปทุมธานีนั้นมีคอนโดมีเนียมระดับราคาปานกลางเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการยักษ์ใหญ่เมืองทองธานี
ที่สร้างดักหน้ากวาดลูกค้าให้เข้าไปซื้อแล้วเป็นหมื่น ๆ ยูนิต หลายบริษัทที่ตั้งใจจะเปิดตัวในย่านทำเลใกล้
ๆ กัน ต้องเปลี่ยนรูปแบบโครงการไป หรือล้มเลิกไปก็หลายโครงการ
ความจริงอีกข้อก็คือ ในย่านนี้เป็นย่านที่มีจำนวนยูนิตเหลือค้างมากย่านหนึ่ง
ถึงแม้คอนโดจะเป็นปัญหาอยู่บ้างแต่ในส่วนของ บ้านเดี่ยวประมาณ 100 ยูนิต
ทาวน์เฮาส์อีกประมาณ 1,000 ยูนิตไม่มีปัญหา ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างทยอยการโอนอยู่เรื่อย
ๆ และเพิ่งเปิดขายเฟสที่ 3 อีกประมาณ 60 ยูนิตเมื่อเร็ว ๆ นี้
โครงการเมืองประชาของ บริษัท ชัยพัฒน์กรุ๊ปเปิดตัวเมื่อปี 2535 ด้วยโครงการใหญ่ในพื้นที่
200 กว่าไร่บนถนนเส้นกรุงเทพฯ-ปทุมธานี จุดหนึ่งที่น่าสนใจโครงการนี้อยู่ที่กลุ่มผู้ร่วมลงทุน
ซึ่งประกอบไปด้วยประชา มาลีนนท์ สุนทร โภคาชัยพัฒน์ และเสรี วิริยะศิริกุล
สุนทรเป็นนักกฎหมายชื่อดังของเมืองไทยซึ่งมีประสบการณ์ในเรื่องการทำโครงการพัฒนาที่ดินมาช้านาน
และยังเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของบริษัทพัฒนาที่ดินต่าง ๆ หลายบริษัทเช่น
บริษัทศรีราชานคร บริษัทเชียงใหม่แลนด์ บริษัททีแอนด์เอ็มบ้านและที่ดิน จำกัด
และยังเคยเป็นที่ปรึกษาของบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ (ไทยทีวีสีช่อง
3) ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้สายสัมพันธ์ที่ดีกับประชา กรรมการรองผู้จัดการ บริษัทบางกอก
เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด จนชักชวนมาตั้งบริษัทพัฒนาที่ดินด้วยกัน
ส่วนเสรีนั้นเป็นเจ้าของโครงการหมู่บ้านปากเกร็ดวิลเลจ และโครงการบ้านจัดสรรอีกหลายแห่งที่มีความชำนาญในการดูแลจัดการในเรื่องการก่อสร้าง
เมื่อมาทำโครงการร่วมกับประชา ซึ่งมารับตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทชัยพัฒน์กรุ๊ป
ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการตลาด และมีเงื่อนไขที่ดีทางสื่อทีวี จึงนับได้ว่าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีส่วนผสมที่ลงตัวบริษัทหนึ่งเหมือนกัน
ดังนั้นแม้ว่าจะอยู่ในช่วงวิกฤติของการทำโครงการที่อยู่อาศัย แต่การก้าวเดินของบริษัทนี้ยังคงยืนหยัดพร้อมที่จะเปิดโครงการใหม่
ๆ ต่อไป
"ปีนี้เราจะเปิดโครงการใหม่ ๆ อีก 3 โครงการแน่นอนที่บางบัวทอง เทพารักษ์
และจังหวัดพิษณุโลก"
โครงการใหม่จะเริ่มเปิดตัวประมาณเดือนสิงหาคมนี้ทั้ง 3 โครงการคือ "เมืองประชาพาร์ค"
บนถนนรัตนาธิเบศร์ในอำเภอบางบัวทอง เนื้อที่ 160 ไร่เป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์
จุดเด่นของตัวทาวน์เฮาส์อยู่ที่ความกว้างของเนื้อที่ในพื้นที่ 22 ตร.ว. โดยมีหน้ากว้างถึง
6 เมตร ราคาประมาณ 1.3 ล้านบาท ส่วนบ้านเดี่ยวก็จะมีสวนหลังบ้านเป็นพื้นที่ส่วนกลางให้ทุกหลังราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ
2 ล้านบาท
โครงการที่ 2 คือ "เมืองประชาเลคแอนด์พาร์ค" บนถนนเทพารักษ์ในพื้นที่กว้างถึง
400 ไร่ มีการเน้นเรื่องพื้นที่สีเขียว และพื้นที่ในส่วนของทะเลสาบ รูปแบบโครงการจะเป็นบ้านเดี่ยวทั้งหมด
ในราคา 2-4 ล้านบาท
ส่วนโครงการสุดท้ายคือ "เมืองประชาพิษณุโลก" ในเนื้อที่ 80 ไร่ซึ่งจะมีทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงในเรื่องของการขาดแรงงานในการก่อสร้างเนื่องจากก่อสร้างพร้อม
ๆ กันหลายโครงการนี้ ชัยพัฒน์กรุ๊ปได้เตรียมที่ดินเปล่าบางแปลงออกมาจัดสรรที่ดินขายด้วย
ชัยพัฒน์ กรุ๊ปได้วางแผนไว้ค่อนข้างชัดเจนว่าจะบุกงานที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑล
และต่างจังหวัดหัวเมือง ถ้ามาดูโครงการใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะพบว่ากลุ่มเป้าหมายลูกค้า
และลักษณะโครงการของกลุ่มนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป โดยจับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป
ส่วนตัวโครงการก็จะเน้นจุดขายในเรื่องของพื้นที่สีเขียวมากขึ้น จำนวนหน่วยน้อยลง
ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับบริษัทพัฒนาที่ดินค่ายใหญ่ ๆ ให้ความสำคัญ
นอกจากโครงการเมืองประชาปทุมธานีที่กำลังเริ่มโอนแล้วในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทางบริษัทยังได้เปิดโครงการอีก
2 โครงการเมืองประชาที่รามอินทรา ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวทั้งโครงการประมาณ 1,000
ยูนิต และโครงการเมืองประชาที่จังหวัดขอนแก่นอีก 400 ยูนิตซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้จะเริ่มโอนในปีนี้เช่นกัน
นอกเหนือจากความจริงที่เขาพบว่า ตลาดคอนโดมิเนียมไม่สดใสแล้ว สุนทรก็ยังพูดด้วยว่าความมุ่งมั่นที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น
ไม่จำเป็นเสมอไป
"เราเปลี่ยนใจแล้วครับ ชัยพัฒน์กรุ๊ปจะเป็นบริษัทขนาดกลางที่เข้มแข็งนอกตลาดมากกว่ามี่จะเป็นบริษัทอันดับท้าย
ๆ ในตลาดหลักทรัพย์" สุนทรกล่าว
ความจริงข้อนี้พิสูจน์แล้ว จากบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์วันนี้