|

นกแอร์เบรกแผนเส้นทางมาเก๊า ตัดหน้าแอร์เอเชียบินสู่บังกาลอร์
ผู้จัดการรายวัน(21 เมษายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
นกแอร์ หลบเส้นทางมาเก๊า ชะลอแผนไปเปิดปีหน้า ฉวยเปิดเส้นทางบินใหม่ กรุงเทพ-บังกาลอร์ตัดหน้า คู่แข่งอย่างแอร์เอเชีย เหตุมีดีมานด์สูงกว่า ซีอีโอนกแอร์เผยคนไทยไม่หวั่นไหวเรื่องเศรษฐกิจ หันใช้การเดินทางด้วยเครื่องบินเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลไตรมาสแรกผลประกอบการโตแบบก้าวกระโดด ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คุยปีก่อนกำไร 44 ล้านบาท พร้อมปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน
นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกแอร์ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนเปิดเส้นทางบินใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเส้นทางต่างประเทศในเดือนตุลาคมปีนี้นกแอร์จะเปิดเส้นทางบินไป เมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย โดยจะบินวันละ 1 เที่ยว ตั้งเป้าอัตราผู้โดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยวไม่น้อยกว่า 70% ของจำนวนที่นั่ง ทั้งนี้บริษัทฯได้รับไลเซ่นทางการบินในประเทศอินเดียรวม 3 เมือง คือ บังกาลอร์ เชนไน ไฮดราบัด โดยอีก 2 เมืองที่เหลือจะทยอยเปิดในปีต่อๆไป
ทั้งนี้ตามแผนเดิมในเส้นทางบินต่างประเทศ บริษัทฯได้วางไว้ว่าจะเปิดเส้นทางบินไปประเทศมาเก๊าในเดือนกรกฎาคมนี้ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการทำให้ต้องปรับแผนมาเปิดเส้นบินไปบังกาลอร์แทน เนื่องจากเห็นว่ามาเก๊ายังไม่มีความพร้อมรองรับนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นได้ เพราะโรงแรมที่พักตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปีหน้า ดังนั้นบริษัทจึงคาดว่าจะเลื่อนเปิดเส้นทางบินไปมาเก๊าเป็นปีหน้าเช่นกัน
“ปัจจุบันมาเก๊าก็มีแอร์เอเชียบินอยู่แล้ว เมื่อตลาดยังไม่พร้อมเราก็ยังไม่ไป เพราะการทำธุรกิจของนกแอร์ต้องมั่นใจว่าทุกเส้นทางบินที่เปิดต้องอยู่ได้และมีผลกำไร ขณะที่เส้นทางบังกาลอร์ ปัจจุบันมีการบินไทยบินอยู่รายเดียว ไม่พอกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งแอร์เอเชียก็มีแผนที่จะบินเส้นทางนี้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้ไลเซ่น จึงถือเป็นโอกาสดีของนกแอร์ที่ได้เริ่มบินก่อน”
สำหรับลูกค้าที่จะใช้บริการเส้นทางบิน กรุงเทพ-บังกาลอร์ จะมีทั้ง นักเรียน นักธุรกิจและนักท่องเที่ยว ในสัดส่วนเท่าๆกัน เพราะ บังกาลอร์เปิดเมือธุรกิจ ไอที มีคนไทยไปเรียนมาก ขณะเดียวกัน ชาวบังกาลอร์ก็มีกำลังซื้อสูงและนิยมเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย
สำหรับเส้นทางในประเทศ จะเพิ่มเส้นทางบิน 2 เส้นทาง คือ เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน และ กรุงเทพฯ-เลย โดยจะเริ่มให้บริการในวันที่ 1 และ วันที่ 5 พฤษภาคมนี้ตามลำดับ นอกจากนั้นยังเตรียมศึกษาเส้นทางอื่นๆในประเทศเพิ่มเติม อีก เช่น สุราษฏร์ธานี เชียงราย กระบี่ และ อุบลราชธานี และภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มเครื่องบินเป็น 6 ลำ จากขณะนี้มีอยู่ 4 ลำ
นายพาที กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของผลประกอบการ ปีที่ผ่านมา บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 44 ล้านบาท ขนผู้โดยสารได้กว่า 2 ล้านคน อัตราผู้โดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยวที่ 85-90% ส่วนไตรมาสแรกของปีนี้ มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สามารถขนผู้โดยสารได้กว่า 4 ล้านคน คาดว่าตลอดทั้งปีผลประกอบการและกำไรของนกแอร์ก็จะเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือโตกว่า 100% แน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการเปิดเส้นทางบินใหม่ๆ ประกอบกับต้องยอมรับว่าตอนนี้กระแสการเลือกใช้บริการเครื่องบินของคนไทยมีเพิ่มสูงขึ้นมา เพราะการแข่งขันของผู้ประกอบการสายการบินโดยเฉพาะสายการบินโลว์คอสต์ ทำให้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของนกแอร์เกือบ 60% เป็นลูกค้าเก่าที่ใช้บริการซ้ำๆ
อย่างไรก็ตาม ในทุกเส้นทางบิน บริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมแผนการตลาด ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องการจัดโปรแกรมการเดินทางแบบพิเศษให้กับลูกค้า โดยเฉพาะในเส้นทางบังกาลอร์ ที่ต้องทำแผนการตลาดอย่างหนัก เพราะนอกจากมีกำลังซื้อในตลาดอยู่แล้ว ในส่วนของตลาดคนไทย บริษัทฯก็จะต้องสร้างกระแสให้เกิดการเดินทางเพิ่มขึ้น เพราะกลุ่มคนไทยที่ไปเที่ยวอินเดียยังมีน้อยมาก ส่วนการจัดที่นั่งให้กับลูกค้าชาวอินเดียก็ต้องเตรียมให้พร้อมเพราะเป็นประเทศที่มีระบบวรรณะที่ชัดเจน
ล่าสุดได้ปรับเพิ่มราคาค่าธรรมเนียมน้ำมันจาก 200 บาท ต่อที่นั่ง เป็น 300 บาทต่อที่นั่ง เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมศกนี้ เนื่องจากปรับตามอัตราราคาน้ำมันของอุตสาหกรรมการบิน
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|