|

อาร์.เอส.ตีปีกหลังหายแอ่นปีนี้
ผู้จัดการรายวัน(21 เมษายน 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
อาร์.เอส.ฝัน ปีนี้เห็นผลกำไรแน่ หลังใช้เวลาปรับโครงสร้าง บริษัทมาเกือบ 2 ปี เผยสนใจเข้าลงทุนในหุ้นไอทีวี แต่ขอศึกษาเงื่อนไขให้ละเอียดก่อน หวั่นพิษการเมืองพ่นใส่ เปิดตัวนิยตสารสำหรับไฮโซ “Fame” ชูจุดขายเนื้อหาแบบไลฟสไตล์ ที่ยังไม่มีนิตยสารผู้หญิงในประเทศไทยทำ ตั้งเป้าธุรกิจสิ่งพิมพ์ปีนี้โตก้าวกระโดดโกยรายได้ กว่า 150 ล้านบาท
นางพรพรรณ รุ่งเรืองบางชัน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์.เอส.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2549 บริษัทฯตั้งเป้ามีรายได้รวมที่ 3,500 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อนที่มีผลประกอบการทั้งปีที่ 2,700 ล้านบาท และจะเป็นปีแรกที่บริษัทฯจะมีกำไร ภายหลังการเดินหน้าปรับโครงสร้างบริษัทมากว่า 2 ปี โดยปีที่ผ่านมาบริษัทฯขาดทุนสะสมประมาณ 400 ล้านบาท โดยปีนี้ช่วงไตรมาสแรก ผลประกอบการเติบโตเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ยังไม่มีผลกำไร เพราะต้องถูกนำไปหักในขาดทุนสะสมจากปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น ธุรกิจเพลง 45% ธุรกิจสื่อ 50% และ อื่นๆเช่น นิวมีเดียอีก 5% โดยในส่วนของธุรกิจสื่อ จะแบ่งย่อยออกเป็น ทีวี 25%,วิทยุ15% และ สิ่งพิมพ์5%
“ยอมรับว่า ไตรมาสแรก ธุรกิจภาพยนตร์ไม่เป็นไปตามคาดหวัง โดยเรานำหนังออกฉาย 2 เรื่อง คือ ไทถีบ และ ผีเสื้อสมุทร ซึ่งเป็นหนังในสต๊อกที่สร้างไว้ตั้งแต่ปีก่อน แต่ช่วงไตรมาส 2 รายได้จากธุรกิจหนังน่าจะดีขึ้นเพราะมั่นใจในหนังที่เตรียมออกฉาย ขณะที่ธุรกิจนิวมีเดีย เราเติบโตอย่างน่าพอใจ” นางพรพรรณกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในด้านการลงทุนยอมรับว่า มีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในหุ้นของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เพราะเป็นฟรีทีวีที่ได้รับการยอมรับจากผู้ชมจำนวนมาก แต่คงต้องรอดูในรายละเอียดของเงื่อนไขต่างๆ พร้อมกับศึกษาในรายละเอียดของคำวินิจฉัยของศาลให้ชัดเจนกว่านี้ เช่น เรื่องสัดส่วนผู้ถือหุ้น การจ่ายค่าสัมปทาน เพราะต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในขณะนี้ไอทีวีไม่ได้เป็นเหมือนบริษัทเอกชนทั่วไป แต่มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องศึกษาให้รอบคอบ และเชื่อว่า มีนักลงทุนหลายรายที่สนใจธุรกิจของไอทีวี ไม่ใช่แค่ อาร์.เอส. เท่านั้น ซึ่งทุกคนก็ต้องรอดูเงื่อนไขเช่นกัน
ในส่วนของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ล่าสุดเปิดตัวนิตยสารเล่มใหม่ “Fame” ภายใต้การผลิตของ บริษัท โพเอม่า จำกัด ในเครือ บริษัท อาร์.เอส. จำกัด(มหาชม) โดยนายชาคริต พิชญางกูร กรรมากรผู้จัดการ บริษัท โพเอม่า จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯได้กำหนดตำแหน่งทางการตลาดและกลุ่มเป้าหมายของนิตยสาร Fame ไว้ชัดเจน คือ เป็นนิตยสารสำหรับผู้หญิง ในกลุ่มเอบวกขึ้นไปมีรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน อายุ 25-40 ปี ชูจุดขายที่เนื้อหาเน้นความเป็นไลฟสไตล์ เช่น เอ็นเตอร์เทน กิน ดื่ม เที่ยว และเดินทาง แต่ก็ไม่ทิ้งเนื้อหาเรื่องของความงามและแฟชั่น ซึ่งนิตยสารผู้หญิงทั่วไปต้องมีอยู่แล้ว จุดวางจำหน่ายเน้นหนัก 80% อยู่ในกรุงเทพฯ และ 20% อยู่ต่างจังหวัดตามหัวเมืองหลัก ยอดพิมพ์เบื้องต้น 1 แสนเล่ม
นอกจากนั้นยังมีความแตกต่างที่ “Guest Editor” หรือ บรรณาธิการรับเชิญ ที่จะมีทุกฉบับ สับเปลี่ยนกันไป ซึ่งจะเป็นบุคคลจากแวดวงไฮโซ นักธุรกิจ และผู้มีชื่อเสียง การทำงานคือจะมาร่วมทำงานกับทีมบรรณาธิการประจำ
“ปีนี้เราจะออกนิตยสารFame เป็นราย 3 เดือน รวม 4 เล่ม ไปถึงฉบับเดือนมีนาคมปีหน้า จากนั้นจะปรับเป็นรายเดือน ทั้งนี้เพราะ เราต้องการทดสอบตลาด และสร้างแบรนด์เพื่อให้ลูกค้าที่จะซื้อโฆษณาเกิดความมั่นใจ เพราะส่วนใหญ่เป็นสินค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ ที่ต้องให้เฮดออฟฟิศในต่างประเทศเป็นผู้พิจารณาเลือกลงโฆษณา ยิ่งการเปิดตัวห้างพารากอน มีแบรนด์เนมมากมาย สะท้อนให้เห็นว่า คนไทยยังมีกำลังซื้อสูง”
ทั้งนี้จากรูปแบบธุรกิจที่ได้นำเสนอมาทั้งหมด ทำให้ Fame เล่มแรก ที่ออกวางแผงแล้วในเดือนนี้ มีผลตอบรับจากลูกค้าลงโฆษณาดีมาก และในฉบับต่อๆไปมียอดจองโฆษณาแล้วไม่ต่ำกว่า 30%
บริษัทฯคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งการพิมพ์ การตลาด กับนิตยสารFame ไปจนถึงเดือนมีนาคมราว 75 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปีแรก ที่ 8-10 ล้านบาท และปีหน้ารายได้จะโตอีกกว่า 20% ทั้งนี้เพราะการปรับจากราย 3 เดือนมาเป็นรายเดือน
อย่างไรก็ตาม นางพรพรรณ กล่าวในตอนท้ายว่า ในส่วนของธุรกิจ สื่อสิ่งพิมพ์ วันนี้ บริษัทฯมีหัวหนังสื่อรวม 4 เล่ม อยู่ในบริษัท โพเอม่า คือ ฟร้อนท์ , พ็อกเก็ตบุ๊ค ,บอส และ เฟม(Fame) ส่วนดาราเดลี่ เป็นของบริษัท นิวส์เจน ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเช่นกัน โดยปีก่อน มีรายได้รวม 50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1%เศษของรายได้รวม แต่ปีนี้ตั้งเป้ามีรายได้จากบริษัทนี้ที่ 150-200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 5% ของรายได้รวม ซึ่งสาเหตุที่เติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะ ปีก่อนถือเป็นปีเริ่มต้นส่วนปีนี้เราเริ่มเดินหน้า
สำหรับที่เรามุ่งมั่นเปิดหัวหนังสือเอง เพราะ อาร์.เอส. ทำธุรกิจเอ็นเตอร์เทนครบวงจร และมองว่า การสร้างหัวหนังสือเองจะเข้าใจพฤติกรรมคนไทยมากกว่า ส่วนหัวหนังสือนอกก็สนใจแต่คงต้องรอให้หัวหนังสือที่สร้างขึ้นมีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ก่อน
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|