หวั่นสถานการณ์การเมือง-ศก.ลามแฟรนไชส์ปรับลดเป้าปี 49 อุตลุด


ผู้จัดการรายสัปดาห์(24 เมษายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ในปี 2549 เป็นปีที่ธุรกิจแฟรนไชส์คาดหวังการขยายตลาดทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศในทุกธุรกิจเพิ่มประมาณ 20% ทั้งนี้จากความต้องการของนักลงทุนใหม่ จากสินเชื่อสนับสนุนผู้ประกอบการใหม่จากถาครัฐและธุรกิจต่างๆ ที่ทยอยเข้าสู่รูปแบบแฟรนไชส์หวังเป็นกลยุทธ์การขยายสาขาให้ครอบคลุม

แต่จากสถานการณ์ทางการเมือง ที่ส่งผลต่อธุรกิจทั้งการตัดสินค้าของผู้เข้ามาลงทุนที่ชะลอตัวต่อเนื่องหรือผู้บริโภคที่ลดการจับจ่ายในกลุ่มสินค้าบางประเภทลง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องส่งผลต่อราคาต้นทุนสินค้าที่ต้องปรับตัวตาม

"ผู้จัดการรายสัปดาห์" ได้สำรวจแผนธุรกิจแฟรนไชส์ครอบคลุมในหลายธุรกิจพบว่า ส่วนใหญ่ได้ชะลอแผนการลงทุนและปรับลดเป้าการขยายสาขา สืบเนื่องจากผู้ร่วมลงทุนส่วนใหญ่ต่างรอสถานการณ์การเมืองนิ่งและต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงจากราคาน้ำมันคงที่เสียก่อน

'เอ พี ไอ เน็ต' วืดเป้า 26%

อภิเทพ แซ่โค้ว กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอพีไอเนท ผู้ให้บริการแฟรนไชส์อินเตอร์เน็ตคาเฟ่แบรนด์เอ พี ไอ เนท เปิดเผยว่า ยอมรับว่าในภาวะการเมืองยังไม่นิ่ง ไม่รู้นโยบายรัฐจะเป็นไปในทิศทางใดนั้นส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้เข้ามาลงทุนสูงมากเพราะเมกะโปรเจ็คต่างๆ ของภาครับก็ชะลอลงไปด้วย

จึงได้ปรับลดจำนวนสาขาที่ต้องขยายเพิ่มในปี 2549 จาก 30 สาขาเหลือ 20 สาขา เท่านั้น ซึ่งทำให้ภาพรวมจำนวนสาขาในปีนี้อยู่ที่ 60 สาขาเพิ่มจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 40 สาขาคิดเป็นเปอร์เซ็นที่ต้องลดลงประมาณ 26%

ทั้งนี้ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายของบริษัทในบางส่วนด้วย ซึ่งปีนี้เป็นปีที่บริษัทเตรียม โครงการใหม่ คือ โมเดลธุรกิจใหม่ การเพิ่มคอนเทนต์การศึกษาโดยร่วมมือกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและการเพิ่มบริการเป็นศูนย์เอนเตอร์เม้นท์มีศูนย์สุขภาพเพิ่มเข้ามานั้น จากเดิมโครงการเหล่านี้ต้องพร้อมเปิดตัวในไตรมาสที่ 2 แต่จากสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้ชะลอโครงการเลื่อนออกไปเป็นไตรมาส 3

ส่วนการลงทุนในภาพรวมนั้น อภิเทพ มองว่า ธุรกิจที่มีการลงทุนระดับล้านบาทขึ้นไปคาดว่าจะส่งผลกระทบค่อนข้างชัดเจน และการลงทุนระดับแสนคาดส่งกระทบเช่นกัน ภาพที่เกิดมีดังนี้ 1.การเกิดผู้ประกอบการใหม่ในกลุ่มผู้มีงานประจำอยู่แล้วลดลงเพราะไม่มั่นใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 2.คนที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว กำลังตัดสินใจขยายธุรกิจอาจเลือกธุรกิจที่คาดจะโตเช่นธุรกิจอาหาร และในบางธุรกิจเช่นกิ๊ฟชอบอาจชะลอลง

ทำใจ 'นีโอ สุกี้เอ็กเพรส ' อืด

สกนธ์ กัปปิยจรรยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นีโอ สุกี้ไทย เรสเตอร์รองส์ จำกัด กล่าวว่า ตามแผนงานนั้นในปี 2549 เป็นปีที่บริษัทผลักดันโมเดลธุรกิจใหม่ ‘นีโอ สุกี้เอ็กเพรส’ ในลักษณะสุกี้บาร์ซึ่งได้รับความนิยมในต่างประเทศ กับสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และระดับเงินลงทุนที่ 9 แสนบาท ย่อมส่งผลต่อการชะลอการลงทุนแน่นอน

"ยอมรับว่ากำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ผู้ที่เข้ามาลงทุนก็มองเห็น และที่ผ่านมานีโอ เอ็กเพรส สาขาขยายสาขาไปตามต่างจังหวัดได้ เลยได้รับผลกระทบไปด้วย"

แต่อย่างไรก็ตามตนมองว่าจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เพราะธุรกิจอาหารในไทยยังมีช่องว่างอีกมากในการนำเสนอทั้งโมเดลธุรกิจใหม่สนองความต้องการของนักลงทุนและผู้บริโภคที่สรรหาอาหารประเภทใหม่ๆ

กับการลงทุนของบริษัทในปีนี้ยังไม่เพิ่มเติม เพราะได้เตรียมผลักดันนีโอ เอ็กเพรสตั้งแต่ปีที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ส่งผลต่อการบริหารธุรกิจมากนัก

ปัจจุบันการขายแฟรนไชส์นีโอ สุกี้ ยังเป็นเป็นการลงทุนที่เต็มรูปแบบที่ได้ทยอยเปิดไปแล้ว ที่ภูเก็ต กระบี่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะมูลค่าการลงทุน 2 ล้านบาท ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย ซึ่งนักลงทุนมองว่ามีฐานลูกค้าที่ไม่อิงกับภาวะเศรษฐกิจและการเมือง ส่วนสาขาต่างประเทศนั้นกำลังเจรจาผู้ร่วมทุนที่หนานกิงและกวางโจว

'โชคดี ติ่มซำ' นำทัพนักลงทุน

ธีรภพ ศิรประภาธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท โชคดี อินเตอร์ฟู้ด จำกัด กล่าวอย่างมั่นใจว่า ในภาวะการเมือง เศรษฐกิจที่ไม่ราบเรียบเช่นนี้มีผลกระทบต่อผู้ที่จะเข้ามาลงทุนอย่างแน่นอน คาดสถานการณ์หรือการคัดสินใจลงทุนต่อได้น่าจะเป็นช่วงครึ่งปีหลัง

และสำหรับการขยายสาขาของโชคดี ติ่มซำในปี 2549 นี้จะขยายจากเดิม 19 สาขาเป็น 30 สาขาโดยเป็นสาขาบริษัทขยายเองและของแฟรนไชซีในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน กับเม็ดเงินการลงทุนของโชคดี ติ่มซำที่สูงถึง 2 ล้านบาท ธีรภพ มองว่า น่าจะมีผลต่อการลงทุนเช่นกัน แต่ความสนใจของผู้ลงทุนมีต่อเนื่องฉะนั้นอาจแป็นเพียงการชะลอการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น ไม่ถึงกับไม่เข้ามาลงทุนเลย

แต่อย่างก็ตาม ในส่วนการลงทุนสาขาของบริษัทนั้น ยังคงเดินหน้าต่อไป รวมถึงการขยายสาขาไปยังต่างประเทศในระยะ 1-3 ปี โดยเล็งกลุ่มประเทศในแถบเอเชียก่อนและอยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมระบบแฟรนไชส์ที่จะไปต่างประเทศและบุคลากร

'พฤกษรักษ์ไทย สปา' ชี้อย่ากลัวเกินเหตุ

นภาพร แสงเทียนฉาย ผู้บริหารพฤกษรักษ์ไทย สปา ให้ข้อมูลว่า การตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจสปามีสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสปาเพื่อความสวยงามและการลงทุนก็มีหลายราคา หลายรูปแบบในการนำเสนอ หรือมีโมเดลธุรกิจที่ผู้ลงทุนจะเลือกได้ค่อนข้างมาก ทำให้ภาพการลงทุนที่ชะลอตัวยังเห็นไม่ชัดเจน เพราะอาจปรับเม็ดเงินลงทุนก็เป็นได้

อย่างไรก็ตามภาพที่เกิดขึ้นวงการธุรกิจสปาคือระมัดระวังในการลงทุน เพราะจากการให้ข้อมูลของภาครัฐและเห็นตัวอย่างจากผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จแต่สิ่งที่ตนสัมผัสกับนักลงทุนใหม่ ส่วนใหญ่จะตั้งคำถามถึงกรณีการเปลี่ยนตัวผู้นำและรัฐบาลว่านโยบายการผลักดันสปาไทยจะยังคงดำเนินต่อหรือไม่รวมถึงการสนับสนุนต่างๆ ที่เอต่อผู้เข้ามาทำธุรกิจเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนกังวลใจสูงสุด

ในความเห็นของตนนั้นมองว่า สปา นวดไทย เป็นจุดขายและจุดแข็งของไทยในการนำเงินตราต่างประเทศทั้งจากการให้บริการภายในประเทศหรือการขยายการลงทุนไปต่างประเทศก็ตาม ไม่ว่ารัฐบาลใดหรือใครเข้ามาบริหารประเทศสปา นวดไทยก็ยังเป็นสินค้า บริการที่รัฐสนับสนุนประกอบกับจุดขายที่แข็งที่เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศคือนวดไทย ไม่มีตลาดการแข่งขันจะมีเทคนิควิธีใหม่ๆ เข้ามาก็ตาม

และสำหรับพฤกษรักษ์ไทย สปา ปัจจุบันมีสาขาบริษัทแม่ 1 สาขา แฟรนไชส์ 6 สาขา ที่ได้ทยอยเปิดให้บริการแล้วจึงไม่ได้รับผลกระทบ แต่ผู้ประกอบการรายใหม่นั้นขณะนี้ยังไม่มีติดต่อเข้ามา แต่อาศัยจังหวะนี้เตรียมความพร้อมในการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศทั้งการบริหารจัดการและบุคลากร


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.