ธวัชชัย สัจจกุล ลูกผู้ชายก็ยังเป็นลูกผู้ชาย นักต่อสู้ที่มีเรื่องราวเล่าขานมากมาย
ประสบการณ์ในเชิงธุรกิจ ทั้งบอบช้ำแสนสาหัส แต่สุดท้ายก็โชคช่วย บุรุษขี้โม้
นักพนัน แต่กลับมีสาระจับต้องได้และน่าศึกษา ราว 4 ปีมาแล้ว ที่เขาเข้ามารับคำชมและค่ำด่า
ภาพของเขาในสายตาแฟนบอลก็ยังดูดี และเป็นผู้ที่ฝากความหวังไว้ได้ ทีมไทยต้องถึงบอลโลก
ปี ค.ศ. 2002 บิ๊กหอยยังมั่นใจอย่างนั้น แต่วิบากกรรมช่วงนี้ดูย่ำแย่ บิ๊กหอยถูกรุมกระหน่ำจากรอบด้าน
สิงห์ตัดงบ เพื่อนเก่า ๆ ตามมาไถ่ถามทุกข์สุข สโมสรประท้วง ถิรชัยขึ้นทาบรัศมี
อาจารย์วิจิตรที่ว่าสายสัมพันธ์แนบแน่น วันนี้ในใจคิดอย่างไรไม่รู้ ความมั่นคงของบิ๊กหอย
ที่คิดว่าทำอะไรก็ได้ในสมาคมชักไม่แน่นอนเสียแล้ว บิ๊กหอยจะบรรเลงเพลงเตะได้จบแมทต์หรือไม่
อดใจรออีกไม่นาน
ธวัชชัย สัจจกุล ที่ผู้คนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยในนามของบิ๊กหอย และรับรู้ว่าเงินสิบยี่สิบล้านที่หยิบยื่นให้กับทีมชาติในแต่ละปีนั้นถือเป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา
แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า กว่าเขาจะมีวันนี้ได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น
เด็กชายอ๊อด อยู่ในครอบครัวฐานะปานกลางในยุคหลังสงครามโลก ที่มีพี่น้องถึง
12 คน เมื่อครอบครัวใหญ่ พ่อแม่ก็ยิ่งต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังและเฉพาะสิ่งจำเป็นเท่านั้น
เพื่อที่จะส่งลูก ๆ ให้ได้เรียนหนังสือกันทุกคน ชีวิตของบิ๊กหอยในวัยเด็กจึงนับว่าขาดแคลนหลายสิ่งหลายอย่าง
อำนวยศิลป์ พระนคร คือที่แรกของเด็ชายอ๊อด ซึ่งในวัยประถมนั้นเขาสอบได้ที่หนึ่งที่สองมาตลอด
แต่พอเข้าเรียนในระดับมัธยมที่สวนกุหลาบ การเรียนตกลงทันทีเพราะเริ่มติดฟุตบอลและสุดท้ายก็ไม่สามารถสอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้
แต่เพราะความฝันของบิ๊กหอยที่อยากจะเป็นวิศวกรอย่างรุ่นพี่ ๆ พ่อซึ่งเป็นคนหัวสมัยใหม่
เลยตัดสินใจเอาบ้านไปจำนองเพื่อส่งให้บิ๊กหอยไปเรียนวิศวะที่ฟิลิปปินส์ ที่หมาวิทยาลัยมาปัว
(MAPUA INSTITUTE OF TECHNOLOGY)
จบวิศวะมาจากฟิลิปปินส์ ภาระหนักอึ้งก็ตกกับบิ๊กหอย เมื่อพ่อป่วยเป็นอัมพาต
บิ๊กหอยต้องทำงานเลี้ยงครอบครัวส่งน้อง ๆ เรียน กัดฟันต่อสู้มาหลายปี แม้ต่อมาจะแต่งงานกับสุพัทราแล้ว
ก็ยังคงต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ ดีที่ว่าค่าใช้จ่ายของครอบครัวใหม่ สุพัทราช่วยรับหน้าที่แบ่งเบาไป
สู่ "แองโกล" จุดพลิกครั้งสำคัญ
หลังแต่งงานได้ 4-5 ปี ชะตาชีวิตบิ๊กหอยก็เริ่มดีขึ้น เมื่อตัดสินใจลดเกรดตนเอง
จากวิศวกรโยธา มาเป็นเซล เอ็นจิเนียริ่ง ซึ่งสมัยนั้นถือว่าต่ำชั้นมาก ขายของอยู่ที่บริษัท
จาร์ดีน ประมาณหนึ่งปีก็ตัดสินใจลาออก เพราะเงินเดือนขึ้นแค่ 50 บาท ทั้งที่ทำขอดขายปีนั้นถึง
2 ล้านบาท โดยย้ายมาอยู่ที่บริษัท แองโกล
งานที่แองโกล บิ๊กหอยได้ดูแลสินค้าระบบดับเพลิงเพียงอย่างเดียวโดยได้เงินเดือน
7,500 บาทและค่ารถอีก 1,500 บาทรวมแล้วก็ 9,000 บาท ซึ่งถือว่าเริ่มคล่องตัวขึ้นในเรื่องเงินทอง
เมื่อบิ๊กหอยย้ายมาอยู่ที่นี่ ที่เก่าก็หาคนขายมาใหม่ไม่ได้ดีเท่า ตลาดระบบดับเพลิงจึงเหมือนอยู่ในมือบิ๊กหอยเกือบทั้งหมด
เพราะช่วงนั้นมีผู้ขายแค่สองรายเท่านั้น แล้วก็เหมือนโชควิ่งชนบิ๊กหอยเข้าอย่างจัง
ในช่วงนั้นบังเอิญมีไฟไหม้โรงแรมใหญ่ที่ถนนวิทยุ มีคนตายเกือบ 60 คน และเป็นไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นทำให้คนกลัวไฟกันใหญ่
บิ๊กหอยเลยขายดีอย่างมากจนกลายเป็นเซียนขายระบบดับเพลิง และถูกส่งไปดูงานที่อังกฤษอเมริกาพอกลับมาก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นมือตลาดเต็มตัว
รู้แล้วว่าต้องขายใครขายอย่างไรจะว่าไปแล้วจุดพลิกผันครั้งสำคัญของชีวิตก็อยู่ที่ตรงนี้
บิ๊กหอยทำงานที่แองโกลได้สัก 3-4 ปี ก็สลัดคราบลูกจ้าง ออกมาเป็นเถ้าแก่เต็มตัว
ด้วยความมั่นใจเต็มร้อย
"โรส เอ็นจิเนียริ่ง" คือบริษัทแรกที่บิ๊กหอยเปิดขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียนสามหมื่นบาท
เสนอระบบดับเพลิงไปยังธนาคารศรีนคร ซึ่งกำลังก่อสร้างสำนักงานใหญ่ที่สวนมะลิ
โดยเสนอผ่านทางเพื่อนซึ่งเป็นวิศวกรคุมงานก่อสร้างที่นี่อยู่สังเกตชื่อบริษัท
จะเห็นว่าบิ๊กหอยอนุรักษ์นิยมไม่เบาทีเดียว และรักสถาบันคือโรงเรียนสวนกุหลาบ
พอตัวคนหนึ่ง
แต่ครั้งนั้นอุเทน เตชะไพบูลย์ไม่ได้ผ่านงานชิ้นนี้ให้เพราะเห็นว่าเป็นบริษัทใหม่และเล็กเกินไป
ไม่น่าเชื่อถือ
บิ๊กหอยต้องดิ้นรนต่อไป แต่ด้วยความที่มีเพื่อนมาก และเพื่อนรัก ครั้งนี้บิ๊กหอยได้อ้างเครดิตจากผลงานของบริษัทแห่งหนึ่งในสิงคโปร์
ซึ่งเป็นของเพื่อนชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง
อ้างสิงคโปร์ ธุรกิจแรกจึงได้เกิด
บริษัทที่ว่าก็คือ ฮาร์ด เอ็นจิเนียริ่ง (สิงคโปร์) ซึ่งเป็นบริษัทที่พอจะมีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ
ซึ่งเจ้าของก็รับปากว่าจะช่วยทุกอย่าง เพียงแต่ยังไม่เข้าถือหุ้นด้วยเท่านั้นแต่แค่นั้นก็พอแล้ว
เพราะบิ๊กหอยได้เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก โรสฯ เป็นฮาร์ด เอ็นจิเนียริ่ง (ประเทศไทย)
ทันทีพร้อมทั้งส่งแบบไปยังธนาคารศรีนครอีกครั้งโดยอ้างถึงแคตาล็อค และผลงานของบริษัทที่สิงคโปร์ควบไปด้วย
ที่สุดเลยได้งานนี้มา และเป็นจุดเริ่มต้นครั้งแรกของกิจกรรมทางธุรกิจที่บิ๊กหอยดำเนินด้วยความเป็นเจ้าของไม่ใช่ในฐานะลูกจ้าง
"จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังคบเพื่อนชาวสิงคโปร์คนนี้อยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วงานครั้งนั้นเขาก็ไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรเลย"
บิ๊กหอยกล่าวเหมือนนึกถึงหนี้บุญคุณที่ทำให้เขาได้เกิดในวงธุรกิจ
นับวันบิ๊กหอบเริ่มมีฐานะขึ้น และด้วยความที่เป็นวิศวกรสายโยธา เขาจึงคิดว่าน่าจะเข้ามาสู่วงการก่อสร้างและงานระบบสาธารณูปโภค
ซึ่งจากการคืบมาสู่ตรงนี้ทำให้บิ๊กหอยประสบวิกฤตทางธุรกิจหนัก ๆ ถึงสามครั้งด้วยกัน
และถ้าเป็นคนอื่นที่ใจไม่แข็งและเป็นนักสู้อย่างบิ๊กหอยก็ไม่รู้ว่าป่านนี้จะมีฐานะอยู่อย่างไร
ประสบการณ์ที่บอบช้ำ
วิกฤตแรกเมื่อเข้ารับงานก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรประมาณ 450 หลัง ปรากฎว่าเจ้าของโครงการทำไปขายไป
ที่สุดก็เริ่มจ่ายเช็คล่วงหน้าครั้งละล้านสองล้าน บิ๊กหอยก็ต้องเช็นเช็คสั่งซื้อของอีกทอดหนึ่งแต่เป็นครั้งละ
5-6 หมื่นบาท ต่อมาเช็คจากเจ้าของโครงการเด้งขึ้นมา ของบิ๊กหอยก็เลยเด้งตามไปด้วย
แต่เป็นว่าของเจ้าของโครงการเด้งแค่ใบเดียวแต่ของบิ๊กหอยเด้งเป็นสิบใบ
ด้วยเหตุที่บิ๊กหอยเป็นคนยอมไกล่เกลี่ย ที่สำคัญมีความตั้งใจที่เมื่อพลาดแล้วก็เผชิญความจริง
การประนีประนอมเพื่อผัดผ่อนหนี้แม้จะใช้แวลาบ้าง แต่เจ้าหนี้ทุกคนก็ให้โอกาสบิ๊กหอยจึงผ่านจุดนั้นมาได้
วิกฤตครั้งที่สองก็เมื่อมารับงานระบบในอาคารสูง ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารกสิกรไทย
พหลโยธิน ครั้งนั้นเป็นผู้รับเหมาย่อยโครงการประมาณ 60 ล้านบาทแต่เก็บเงินจากผู้รับเหมาที่จ่ายเงินให้ไม่ได้ตอนนั้นก็เกือบยี่สิบล้านบาท
คือพลาดแล้วก็ก้มหน้ารับกรรมไป แต่ก็ผ่านมาได้เพราะใจยังสู้
ในเรื่องนี้ โอม สัจจกุล น้องชายคนเล็กของบิ๊กหอย ที่มารับหน้าที่เป็นผู้จัดการโรงงาน
ที่บริษัทอุตสาหกรรมถึงแก๊ส ธุรกิจหลักอันหนึ่งของบิ๊กหอย ได้กล่าวต่อ "ผู้จัดการ"
เมื่อครั้งเข้าชมโรงงานผลิตถึงแก๊สแห่งนี้ว่า ครั้งที่ขาดทุนกับงานระบบที่ธนาคารกสิกรไทยนั้น
ดูเหมือนจะมีเรื่องค่าเงินบาทเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
"ราวปี 2524-2525 ตอนนั้นรับงานมาแล้วแต่พอค่าเงินบาทลด ของที่ต้องสั่งเข้ามาราคาพุ่งขึ้นทันที
เพราะเป็นของที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ซึ่งก็ต้องยอมรับสภาพ
คุณธวัชชัยเขาก็ยอมรับความจริง ก็กัดฟันสู้มา แล้วแบงก์ซึ่งเราไปกู้มาลงทุนก็เข้าใจเพราะตอนนั้นส่วนใหญ่รายที่เจ็บก็มาจากสภาพของธุรกิจจริง
ๆ เห็นกันอยู่ว่าเป็นเพราะเรื่องลดค่าเงินบาท จริง ๆ แล้วที่ผ่านมาไม่เคยหนีหนี้
แบงก์ก็เลยยอมให้เวลาบ้าง" โอมกล่าว
มาถึงวิกฤตครั้งสุดท้าย ซึ่งหลังจากครั้งนั้นมาจวบจนปัจจุบัน บิ๊กหอยดูจะมีแต่หนทางสดใสในด้านธุรกิจ
"ครั้งสุดท้ายรับงานระบบที่มาบุญครองซึ่งระหว่างนั้นงานด้านอสังหริมทรัพย์มันฟุบทำไปแล้วไม่มีคนซื้อและปัญหาอีกหลายอย่าง
เจ้าของโครงการเลยจ่ายมาเป็นพื้นที่ห้อง เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรขายก็ไม่ออกจนตอนหลังตลาดเปิดอีกครั้งจึงค่อยขายใช้หนี้เขาไป"
บิ๊กหอยกล่าว
เมื่อผ่านพ้นวิกฤตมาได้ บิ๊กหอยก็เริ่มต้นเดินทางต่อไป โดยเน้นหนักไปในด้านงานระบบในอาคารสูงเพียงอย่างเดียว
ส่วนงานรับเหมาก่อสร้างนั้นเลิกโดยเด็ดขาดและได้เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น
"อินโนเวสท์ ฮาร์ท(ประเทศไทย)" ซึ่งต่อมาก็รับงานในอาคารสูงอีกหลายโครงการ
ล่าสุดกำลังจะติดตั้งในอาคารใบหยกสอง กิจการของบิ๊กหอยตรงนี้เจริญก้าวหน้าไปมากเรียกได้ว่า
ฐานะความเป็นอยู่เข้าขั้นเสี่ยเต็มตัวและความมั่นคงทางธุรกิจก็เริ่มชัดเจนขึ้น
ยิ่งมีประสบการณ์อย่างช่ำชองถึงสามครั้งในอดีต ยิ่งทำให้จังหวะของเขาแข็งแกร่งโอกาสพลาดเหลือน้อยเต็มที
"ฟองสบู่" ยุคทองของบิ๊กหอย
ธุรกิจยิ่งสดใส ดูเหมือนลาภยิ่งวิ่งเข้าหาบิ๊กหอย เพราะในช่วงปี 2530 ในยุคเกี่ยวเนื่องมาถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย
ชุณหะวัณ เศรษฐกิจประเทศไทยร้อนสุดขีด แม้จะเป็นยุคฟองสบู่ก็ตามที แต่บิ๊กหอยก็ฉกฉวยโอกาส
จากตรงนั้นไปมากทีเดียวจนเรียกได้ว่า ลืมตาอ้าปากอย่างหายห่วงและเติบโตจนมีธุรกิจมากมายในระดับพันล้าน
ก็เพราะตรงนั้น
"ช่วงที่หุ้นบูม ที่ดินบูม พวกสิงคโปร์ที่เป็นเพื่อนกัน เลยมาลงทุนที่เมืองไทยในนามของผมทั้งซื้อที่
เล่นหุ้น เพราะเชื่อใจว่าผมไม่โกง ได้กำไรก็แบ่งกัน บางครั้งซื้อที่มายังไม่ทันจ่ายเงินเลยก็มีคนมาซื้อต่อแล้ว
มันก็เป็นเงินไปหมด พอมีเงินแล้ว ไอ้ที่เขาเรียกว่าเงินต่อเงินนี่มันจริง"
ยุคทองตรงนั้น แม้บิ๊กหอยไม่ได้กล่าวชัดเจนว่าเบ็ดเสร็จได้มาเท่าไรทั้งจากการเล่นที่และเล่นหุ้น
แต่เข้าใจว่าเป็นหลักร้อยล้านแน่นอน เพราะจากยุคนั้นทำให้ต่อมาบิ๊กหอยมีเงินซื้อหุ้นเก็บไว้หนึ่งร้อยล้านบาท
เล่นกอล์ฟพนันหลุมละเกือบล้านใช้เงินได้สบายมือ ซื้อที่ดินเก็บไว้อีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งไม่เปิดเผยว่าจำนวนเท่าไร ที่ไหนบ้าง แต่คาดว่าน่าจะมีหลักร้อยไร่ขึ้นไป
สำหรับหุ้นมูลค่าร้อยล้านบาทที่ซื้อไว้นั้นมาถึงวันนี้ บิ๊กหอยพูดถึงแบบไม่รู้สึกเดือดร้อนว่า
มูลค่าหล่นวูบมาอยู่ 40-50 ล้านเท่านั้น แต่ด้วยความที่เป็นนักเล่นหุ้น ที่ระยะหลังถือไว้ค่อนข้างยาว
จึงไม่สะทกสะท้านกับสภาพตลาดที่ผกผันมากนัก เพราะคิดว่าวันหนึ่งราคามันก็จะกลับมาอีก
แต่กระนั้นบิ๊กหอยก็ขอหยุดก่อนกับงานอดิเรกตรงนี้
"ซื้อไม่ซื้อแล้วครับตอนนี้ เพราะอำนาจการใช้เงินของผมนี่ ผมคิดว่าปีหนึ่งอยู่ประมาณ
20-30 ล้านบาท ผมก็ใช้อยู่ตรงนั้น พอเวลาหุ้นมันตกมาก็หาเงินไปใช้หนี้ดอกเบี้ยบ้างขายออกไปบ้าง"
ส่วนการซื้อที่ดินเก็บไว้ ไม่มีใครเดาใจได้ว่าบิ๊กหอยคิดอะไร และคำว่า
"เงินต่อเงิน" นั้น ยังมีมนต์ขลังสำหรับบิ๊กหอยอีกหรือไม่ เก็บเป็นมรดก
รอขาย หรือรอให้ถึงโอกาสเหมาะที่จะทำโครงการใหญ่
"ผมขี้เกียจ เหนื่อย อีก 7-8 ปี ผมก็อายุ 60 แล้ว ช่วงนั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้มันก็ไปจมอยู่ตรงนั้น
ผมอาจจะกำไร 300 ล้าน ถ้าผมเป็นคนชอบรักทำงาน ผมก็เอา 300 ล้านหมุนกลับเข้าไปใหม่
แล้วในที่สุด ผมก็ตายอยู่กับตรงนั้น ตายกับงาน กับปัญหา"
มั่นคงแล้ว ไม่ต้องเสี่ยง
มุมของบิ๊กหอยนั้น เห็นว่าถ้าจะรุกเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เต็มรูปแบบนั้นจะต้องมีสายป่านยาว
เข้ามาอย่างถูกจังหวะ โดยยกตัวอย่างว่า พวกที่อยู่ไม่ได้ คือ มือใหม่ และพวกไม่ใหญ่พอ
แต่มาถึงมาใหญ่เลย ก็ยืนไม่ได้ นอกจากนี้ความมีโชคก็ประกอบด้วย และสำหรับตัวเขาเอง
ทุกวันนี้ก็สุขสบายแล้ว มีธุรกิจหลักอยู่ในมือ 3 แห่ง มีเงินใช้จ่าย 40-50
ล้านบาท ซึ่งก็นับว่ามากพอแล้ว แต่ถ้าเขาลองเข้าไปทำโครงการพันล้านตรงนี้จะเล็กทันที
แล้วแทนที่เขาจะได้ทำสิ่งที่ตนเองรักได้หมุนเงินอย่างสบาย ๆ มันก็ต้องไปจมอยู่ตรงนั้น
เพื่อจะรอว่าโครงการนั้นเสร็จขายหมด ชีวิตบั้นปลายก็คงไม่มีความหมายอะไร
ที่สำคัญไม่ใช่แนวของเขา
แต่ถ้ามองในแง่ของประสบการณ์บอบช้ำในอดีตอาจเข้าใจได้ว่าบิ๊กหอยคงเข็ดที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
หรือแม้แต่การขยายธุรกิจหลักอีก 2 แห่งหลังจากฟื้นฟูจากจุดศูนย์จนกลับมานับหนึ่งสองสามได้สำเร็จ
ก็ยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า และต้องมั่นใจอย่างที่สุดเท่านั้นการขยายงานจึงเกิด
"คงไม่ใช่ว่ากลัว แต่น่าจะเป็นการรอโอกาสมากกว่า และคงเห็นว่าทุกวันนี้มั่นคงแล้ว
การเสี่ยงก็ไม่จำเป็น" โอมพูดถึงพี่ชาย
โอม ยกตัวอย่างถึงการขยายงานในโรงงานผลิตถึงแก๊สว่า นับจาก 5 ปีก่อนที่บิ๊กหอยมาซื้อกิจการแล้ว
ก็ขยายกำลังการผลิตมาเรื่อย จากเดิมผลิตที่ประมาณ 300,000 ถึงต่อปี ก็เพิ่มมาตลอดจนปัจจุบันอยู่ที่
1 ล้านถึงต่อปี และจะเพิ่มขึ้นอีก 20% ภายในปีนี้หรืออย่างช้าคือปีหน้า ซึ่งจะอยู่ได้อีก
3 ปี แต่ถ้าจะรุกอย่างดุดันก็ควรจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 50% แต่บิ๊กหอยไม่เลือกที่จะทำอย่างนั้น
เพราะเสี่ยงเกินไป
โอมอธิบายว่า ธรรมชาติของตลาดถึงแก๊สนอกจากจะสั่งซื้อเป็นไตรมาสหรือเป็นปีแล้ว
ยังพบว่าตลาดส่งออกจะบูมในช่วงปลายปีเท่านั้น คือ ที่อังกฤษกับออสเตรเลีย
ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของไทยและนอกจากนี้ถ้ามองอย่างผิวเผินอาจพบว่าตลาดมีแนวโน้มสดใส
ขยายตัวอย่างมาก แต่ถ้าดูให้ดีแล้วจะเห็นว่ายังมีความไม่แน่นอนอีกมาก การเพิ่มกำลังการผลิตแค่
20% ถือว่าปลอดภัยที่สุด และป้องกันปัญหาการปลดคนงานในอนาคตด้วย ถ้าธุรกิจซบเซา
ความไม่แน่นอนนั้นน่าจะมาจากการมองอดีตที่ว่าครั้งหนึ่งตลาดถ้งแก๊สยังเล็กอยู่มาก
และต่อมาผู้คนนิยมใช้มากขึ้นตลาดจึงขยายตัว เช่นกันเทคโนโลยีของโลกพัฒนาไปเรื่อย
ๆ ไม่แน่ว่าอุปกรณ์หุงต้มในอนาคตอันใกล้อาจจะพัฒนาขึ้นจนถึงแก๊สแทบไม่มีตลาดเลยก็ได้
ที่สำคัญในขณะนี้แนวโน้มของธุรกิจซ่อมบำรุงถึงแก๊สก็เริ่มกระเตื้องขึ้นมาและมีทิศทางที่สดในอยู่มาก
ตรงนี้ก็จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของอุตสาหกรรมผลิตถังแก๊สทั้งระบบ
2 กิจการหลักได้มาแบบมือเปล่า
นอกจากโรงงานถังแก๊สแล้ว โรงงานประกอบแอร์ก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ถือเป็นตัวหลัก
และได้มาหลังจากยุคทองได้จบสิ้นไป ซึ่งที่นี่เป็นโรงงานแรกและนำไปสู่การได้มาซึ่งโรงงานถังแก๊ส
"คอนโซลิเดเต็ด อีเลคทริค" คือ บริษัทที่ทำการประกอบแอร์ และครั้งหนึ่งเคยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
แต่ถูกถอดออกจากตลาดเพราะขาดทุน และถูกธนาคารยึด เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน จากนั้นกลุ่มทุนกลุ่มหนึ่งจากสิงคโปร์จึงไปซื้อมาทำต่อ
ไม่นานนักก็ได้ขายต่อให้นักธุรกิจไทยคนหนึ่งขายเหมือนให้ฟรี
บิ๊กหอยคือนักธุรกิจไทยคนนั้น
"เขาก็จะขายให้ถูก ๆ ก็เหมือนกับว่าเราทำโรงงานให้เขา ขายเกือบ ๆ
ไม่ต้องจ่ายเงินน่ะ เป็นเพื่อนกัน เอ็งทำไปก่อน เอ็งทำได้ก็ค่อยเอาเงินมาจ่าย
ก็เหมือนกับได้ฟรี ผมก็ซื้อเอาไว้ 7-8 ปีมาแล้ว ก็มาทำต่อทำจากยอดขาย 40-50
ล้านบาท เดี๋ยวนี้ยอดขาย 700-800 ล้านบาทก็ทำส่งให้หลายยี่ห้อ แคเรียร์,
โกลบอกซ์ และก็ส่งออกด้วย"
จากโรงงานประกอบแอร์ มีเหตุให้บิ๊กหอยต้องเข้ามาจับอุตสาหกรรมผลิตถึงแก๊สอย่างชนิดที่ว่าจำใจปฏิเสธได้ยาก
"ผมก็ไปซื้อบริษัทนี้มาประมาณ 5 ปีได้แล้ว ซื้อมาจากแบงก์ทหารไทย
เดิมเจ้าของเก่ากู้เงินแบงก์มาแล้วก็ขาดทุน แต่แบงก์เขาก็ไม่เชิงยึดนะ แต่เจ้าของเก่าเขาไม่อยากทำต่อธนาคารเขาก็มาขอให้ผมซื้อไปผมก็ซื้อ"
ภาวะจำยอมนั้น มีเหตุเพราะว่าตอนที่บิ๊กหอยซื้อโรงงานประกอบแอร์มานั้นจำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนในการฟื้นฟู
รวมถึงหนี้สินเก่าที่ยังค้างอยู่กับธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทยจำนวนหนึ่ง
ที่สุดจึงได้เข้ามาเจรจากับธนาคารทหารไทย แล้วยกหนี้มาไว้ที่นี่ทั้งหมด จึงกลายเป็นเสมือนบุญคุณกัน
นอกจากนี้ธนาคารทหารไทยก็รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมดว่า โรงงานประกอบแอร์เป็นอย่างไร
มีหนี้เท่าไรและเหตุใด ซึ่งต่อมาบิ๊กหอยได้ดำเนินการฟื้นฟูโรงงานประกอบแอร์
จนที่สุดภายในระยะ 2 ปี ก็เริ่มลืมตาอ้าปากได้ นี่จึงเป็นประการหนึ่งที่ธนาคารทหารไทย
มองมาที่บิ๊กหอย เพื่อให้เข้ามาฟื้นฟูบริษัท อุตสาหกรรมถังแก๊สจำกัด ซึ่งขณะนั้นประสบปัญหาอย่างหนักถึงขั้นถูกสำรองหนี้สูญเลยทีเดียว
"พอดีแบงก์เขามีปัญหากับถังแก๊สเขาก็เรียกผมไปถาม ให้ช่วยดูนี่หน่อยสิจัดทีมบริหารเข้ามา
ผมก็บอก ผมเลยมาแล้ว เขาก็บอกงั้นช่วยซื้อไปหน่อย ผมบอกผมทำถึงแก๊สไม่เป็น
เขาบอกธุรกิจก็เหมือนกันมันก็งานเหล็กเหมือนกัน ถ้าพูดกันตรง ๆ ภาษาตลาด
แบงก์เขาบิดแขนให้ผมซื้อในทำนองว่าคุณมีปัญหา คุณมาหาผม ผมช่วยคุณ ผมมีปัญหาบอกให้คุณช่วย
คุณไม่ช่วยผม วันหลังเราอาจจะมีปัญหากัน"
บิ๊กหอยกล่าวถึงเหตุจำเป็นที่กลายเป็นความจำใจรับความร่ำรวยในเวลาต่อมา
แม้ว่าเป็นการจำยอม หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ถ้ามองในรายละเอียดของการซื้อขายครั้งนั้น
บิ๊กหอยก็ยังนับว่าคุ้มค่า
"ผมซื้อบริษัทนี้มา ซึ่งถ้าสร้างใหม่แล้วบริษัทนี้ประมาณ 300-400
ล้านบาท แต่ผมซื้อมาผมใช้เงิน 3 ล้านบาทเท่านั้น ตอนนั้นมีหนี้อยู่ประมาณ
200 กว่าล้าน ซึ่งถือว่าโอเคเป็นหนี้หมุนเวียนธรรมดา" บิ๊กหอยกล่าวถึงความโชคดีของตนอีกครั้งในการซื้อกิจการมาทำ
เหมือนได้มาแบบมือเปล่า
การฟื้นฟูที่ง่ายจนถึงไม่ถึง
แต่ความโชคดีเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะให้อะไร ๆ สดในเสียทั้งหมด เพราะกิจการที่ได้มา
ต้องเยียวยารักษามากพอสมควร ปัญหาการฟื้นฟูกิจการจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของบิ๊กหอยอยู่มากเหมือนกัน
แต่เขากลับมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ๆ เสียเหลือเกิน
คือ บิ๊กหอยพยายามหาต้นทุนให้ได้ว่าแท้จริงเป็นอย่างไร ปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้เจ้าของเก่าพลาดคืออะไร
จากนั้นก็ดูประสิทธิภาพของโรงงาน หาตลาดและดูคู่แข่ง ทุกอย่างก็จบ
"ผมว่ามันเป็นพื้นฐาน มันเป็นคอมมอนเซนส์ธรรมดา เพียงแต่ว่าคอมมอนเซนส์ตัวนี้
นักธุรกิจมองออกหรือเปล่า หรือว่าจะไปมองกันในแง่ทฤษฎีกันมากจนเกินไป การค้าถ้าผูกขาดอีกอย่าง
แต่ในระบบการแข่งขันเสรี มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องมีการแข่งขันซึ่งกำหนดโดยคู่แข่ง
และผู้บริโภคอยู่แล้ว"
ในด้านตลาดนั้น บิ๊กหอยกล่าวว่าอุตสาหกรรมถังแก๊ส ตลาดต่างประเทศมันมีอยู่แล้ว
แต่บริษัท อุตสาหกรรมถังแก๊สที่ขาดทุน ก็เพราะปัญหาการจัดการเพียงอย่างเดียว
ไม่ใช่ปัญหาตัวอื่นเลย ลูกค้าก็เป็นลูกค้าเก่าทั้งนั้น มีลูกค้าใหม่ไม่ถึง
20% มันมีปัญหาในเรื่องการจัดการแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์
"คือตอนนั้นเขาผูกขาดเพียงเจ้าเดียวแต่พอระยะหลังมีคู่แข่งเข้ามา
ก็เลยมีปัญหาขึ้น และขาดทุน
ในระยะ 4-5 ปี หลังก่อนที่ผมจะเข้ามาเท่านั้นเอง แต่ทีนี้การขาดทุน ในสายตาของธนาคาร
มันเป็นการขาดทุนที่มองไม่เห็นทางกู้ มันก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมาว่าจะไปไม่ไหวแล้ว
ผู้ถือหุ้นเก่า ๆ ก็เลยขายให้แบงก์ หาคนมาทำขายเครื่องไม้เครื่องมือให้"
สำหรับบริษัทอุตสาหรรมถังแก๊ส ปัจจุบันแม้กำลังการผลิตจะเป็นที่สองแต่ถ้ามองถึงยอดจำหน่ายแล้วจะสูงที่สุด
ระหว่างรายใหญ่ 3 รายที่มีอยู่ในประเทศ โดยปี 2539 นี้คาดว่ายอดขายจะอยู่ที่
510 ล้านบาท สำหรับถังแก๊สที่ทำการผลิตนั้นจะติดยี่ห้อตามที่เจ้าของว่าจ้างมา
โดย 70% จะทำการส่งออก ตลาดใหญ่จะอยู่ที่อังกฤษกับออสเตรเลีย
มั่นใจ ไม่มีวันล้มอีกแล้ว
ปัจจุบัน 3 กิจการหลักที่กล่าว กับอีกหลายกิจการย่อย ๆ ที่บิ๊กหอยบอกว่าจำไม่ได้ครบนั้น
รวมแล้วมียอดขายปีละไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท จากผลประกอบเช่นนี้ทำให้บิ๊กหอย
มีอำนาจซื้อเพียงพอที่จะก่อร่างสร้างฝันที่ยิ่งใหญ่ให้กับตนเอง และวางงบประมาณไว้ปีละหลายสิบล้านบาทเพื่อใช้จ่ายซื้อความสุขให้กับชีวิตในบั้นปลาย
มองในด้านความเป็นนักธุรกิจแล้วบิ๊กหอยก็นับเป็นนักธุรกิจระดับพันล้านที่มีความน่าสนใจศึกษาไม่น้อยทีเดียวอย่างเช่น
ทุกวันนี้ชีวิตในแต่ละวันหรืออาจกล่าวว่าแต่ละปีก็ได้ บิ๊กหอยแทบไม่ต้องเข้าไปบริหารธุรกิจที่มีอยู่ในมือ
ด้วยการนั่งออฟฟิศเลยด้วยซ้ำ
"ผมแทบไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ทุกอย่างวางระบบไว้แล้ว ถ้ามีอะไรเลขาฯ ก็จะติดต่อผมมา
มีสัญญาต้องเซ็น บาทีก็เอามาให้ผมเซ็นที่นี่ (สนามฝึกซ้อมฟุตบอลของทีมชาติในหมู่บ้านเกศินีวิลล์
ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่ง "ผู้จัดการ" ได้สัมภาษณ์เขา) ถ้ามีรายงานต้องให้ผมดูก็จะส่งมาทางแฟกซ์ทางอะไร
นอกจากจะมีเรื่องสำคัญ ๆ เท่านั้นผมถึงจะเข้าออฟฟิศที แต่กว่าที่ผมจะออกมาตรงนี้ได้
ผมต้องดูเอง และได้วางระบบควบคุมต่าง ๆ ไว้สมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการรายงานข้อมูลข่าวสาร
ผมทำงานทางโทรศัพท์ สิ้นเดือนส่งรายงานมารายการต่าง ๆ เป็นอย่างไร จะมาไล่เบี้ยกัน
ถ้ามีปัญหาและจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้หมด"
แต่เหตุผลจริง ๆ ก็น่าจะมาจากการที่กิจการหลักนั้น บิ๊กหอยได้ดึงพี่ชายและน้อยชายเข้ามาช่วยดูแล
ซึ่งทำให้ไว้ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
สมศักดิ์ พี่ชายคนโต ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาถึง 20 ปี ในฐานะซูปเปอร์ไวเซอร์ก็กลับมาช่วยน้อยชาย
โดยดูแลที่โรงงานประกอบแอร์
ศุภฤกษ์ น้องชายคนรองที่จบมาทางด้านนิติศาสตร์ดูแลทั้งโรงงานประกอบแอร์และที่โรงงานผลิตถึงแก๊ส
โอม น้องชายคนเล็ก ร่ำเรียนจนจบวิศวะมาจากฟิลิปปินส์เช่นเดียวกับบิ๊กหอย
รับหน้าที่ด้านการผลิตที่โรงงานผลิตถังแก๊ส
ส่วนน้องสาวอีก 8 คนนั้นไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเพราะต่างแต่งงานมีครอบครัวเลยไม่มีเวลามาช่วยงานพี่ชาย
โอม พูดถึงการเข้ามาช่วยงานว่า ก็ทำงานในลักษณะลูกจ้าง เงินเดือนก็ระดับเดียวกับลูกจ้างคนอื่นๆ
ที่ตำแหน่งงานระดับเดียวกัน เพียงแต่ว่ามีการช่วยเหลือในฐานะพี่น้องเป็นกรณีพิเศษ
กระนั้นกิจการต่าง ๆ พี่น้องที่เข้ามาช่วยงานก็ไม่ได้มีส่วนในการถือหุ้น
และไม่ใช่ระบบกงสี เนื่องจากทุกอย่างนั้นบิ๊กหอยสร้างขึ้นมาด้วยตนเองทั้งสิ้น
โอม พูดถึงพี่ชายที่ดูแลตนเองมาตั้งแต่เล็กว่า ถ้าให้มองถึงความเป็นบิ๊กหอยคงกล่าวว่าเป็นนักการตลาด
นักเก็งตลาด นักขายมือดีคนหนึ่ง ชอบทำธุรกิจที่ขาดทุนให้มีกำไร เพราะมันท้าทายความสามารถซึ่งน่าจะมาจากการเป็นคนที่ชอบเสี่ยงด้วยเหมือนกัน
และนิสัยส่วนตัวแล้วจะเป็นคนใจถึง จริงใจ รอบคอบ
โอม มั่นใจว่า เมื่อมาถึงวันนี้แล้ว ธวัชชัย สัจจกุล ไม่มีวันที่จะล้มอีกแล้ว
ไม่ว่าจากกรณีใดก็ตาม
ในส่วนตัวของบิ๊กหอย จากเส้นทางเดินที่ผ่านมา โดยเฉพาะการฟื้นฟูสองกิจการหลักนั้น
ทำให้คิดว่า วิถีในการทำธุรกิจของบิ๊กหอย ก็คือ การมองเห็นโอกาสที่คนอื่นไม่เห็นแล้วทำ
มองช่วงที่ตกต่ำแล้วเข้าไปฟื้นฟู แต่บิ๊กหอยก็ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
"ผมคิดว่าไม่ใช่มองหา ต้องเรียนตรง ๆ ว่าคนเรามีดวง อันนี้จริง มันเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต
ซึ่งถ้าผมทำงานระบบผมก็อยู่ได้ แต่พอดีมีคนมาบอกว่าช่วยทำให้หน่อย ผมดูแล้วไม่หนักหนา
ก็ก้มหน้าก้มตาทำไป ถ้าดีก็ดีไป ถ้าไม่ดีก็ไม่เสียหาย คืองานที่ผมรับมามันมีแต่เจ๊ากับเจี๊ยะ
ทีนี้บังเอิญ 2 งานใหญ่มันกลายเป็นเจี๊ยะ ผมอาจจะมีฝีมือบ้างนิดหน่อย แต่โชคดีผมมีลูกน้องดี"
หยุดธุรกิจ ขอจบชีวิตที่ฟุตบอล
สำหรับอนาคตการที่จะเข้าไปฟื้นฟูกิจการอื่นอีกนั้น ดูเหมือนบิ๊กหอยอยากจะเพียงพอ
เพราะวันนี้ความหวังของเขาไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้ในเชิงธุรกิจเสียแล้ว เขาหันกลับมาสู่สิ่งที่ตนเองคลั่งไคล้นับแต่วัยเด็ก
ฟุตบอล ประสบความสำเร็จสูงสุดได้ไปแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย คือถ้วยรางวัลสุดท้ายแห่งชีวิตที่เขาหวัง
"ถ้ามีบริษัทไหนแย่ก็ต้องดูว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร เพราะจริง ๆ
ผมก็ไม่คิดจะไปเทกใครและอีกอย่างผมก็กำลังสนุกมากกับฟุตบอล"
กว่าจะมาถึงงานระดับชาติครั้งนี้กล่าวได้ว่าเป็นผลมาจากความเป็นนักเสี่ยงโชคของบิ๊กหอย
และแม้ว่าบิ๊กหอยจะมีบุคลิกที่มองเรื่องเงินเป็นเรื่องเล็กเพราะไต่มาจากศูนย์ก็ตาม
แต่การทุ่มเงินให้กับวงการฟุตบอลของไทย ก็มาจากการที่เริ่มจะรู้สึกเสียดายเงินทองที่ละลายออกไปกับการเป็นนักเสี่ยงโชคเหมือนกัน
ก่อนที่จะเข้าสู่วงการฟุตบอล บิ๊กหอยมักจะใช้เวลาในช่วงพักผ่อนกับกอล์ฟ
แต่เป็นกอล์ฟที่มีค่าใช้จ่ายในแต่ละหลุมนั้นเรือนแสนทีเดียว
บิ๊กหอยยอมรับว่าตนเองจัดว่าเป็นนักเสี่ยงโชคคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นนักเสี่ยงโชคประเภทไม่เป็นก็ตาย
คือเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้บ้าง ซึ่งเมื่อก่อนพอฐานะมั่นคงขึ้นการใช้จ่ายเงินสบายมือขึ้น
กอล์ฟคือสิ่งที่บิ๊กหอยเข้ามาเพื่อความสะใจ และทุกครั้งจะมีวงเงินเพื่อบีบหัวใจเป็นเรือนแสน
"ผมว่าเต็มที่ สักแปดแสนนะสูงสุดไม่เคยถึงล้าน ไอ้ตอนที่เล่นไม่เคยนับหรอก
ใครท้าผมก็เล่นไปทั่ว สำหรับกอล์ฟเสียเป็นสิบล้านนะ ตอนหลัง ๆ ก็มานั่งนึกทำแบบนี้มีแต่เสียออกไปตลอด
ไม่ได้อะไรคืนมา ใคร ๆ ก็เรียกผมว่าไอ้หมู ทีนี้เราไม่อยากให้ใครเรียกว่าหมู
ก็เลยเลิกเล่น จึงหันมาทางฟุตบอลเพราะผมชอบอยู่แล้ว และคิดว่าเสียกับงานฟุตบอลก็ยังดีกว่า"
เข้ามาทำฟุตบอล บิ๊กหอยก็เลิกกอล์ฟที่ค่าเล่นแสนแพงทันที โดยหันมาพนันฟุตบอลแทน
คนเราถ้าลองชอบแนวนี้แล้วมันหนีไม่ออก จะว่าเป็นสัจธรรมของนักเสี่ยงโชคก็ได้ที่มักจะพนันได้เสียทุกเรื่อง
"ถามว่าชอบพนันไหม ผมชอบ บอล ผมก็พนันไปเรื่อย เพียงแต่ว่าทีมชาติเล่นผมไม่เคยเล่นพนันข้างทีมอื่นนอกจากทีมชาติไทย"
บิ๊กหอยกล่าวตามบุคลิกที่ตรงไปตรงมา มักพูดอะไรตรง ๆ ไม่ค่อยสนใจว่าใครจะคิดอย่างไร
นี่คือสไตร์ที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมา
เมื่อเข้าสู่วงการแล้ว บิ๊กหอยนับเป็นผู้จุดประกายแห่งความหวังทุกครั้งที่ทีมชาติไทยลงเตะในทัวร์นาเมนต์ใหญ่
ๆ ซึ่งก็พลาดเสียทุกครั้ง แต่เข้าใจว่าแฟนบอลส่วนใหญ่ก็ยังให้โอกาสเขาอยู่
ทว่าภาพของบิ๊กหอยก็กลายเป็นผู้จัดการทีมชาติไทยที่ขี้โม้ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ตรงนี้บิ๊กหอยให้เหตุผลไว้น่าฟังมาก
"ต้องขี้โม้ ถ้าไม่โม้ ไม่มีคนดูบอลหรอก ถ้าก่อนรบแม่ทัพใส่หมวกกันน็อกไว้ก่อนแล้ว
โอย…สู้เขาไม่ได้หรอก ก่อนรบต้องสร้างความมั่นใจ ถ้าเป็นแม่ทัพแล้วปอดแหกต้องไปเป็นเสธ.
ไป อะไรไป ไม่ควรมาเป็นแม่ทัพ" บิ๊กหอยพูดได้แสบจริง ๆ
สำหรับความหวังของวงการฟุตบอลของไทยที่ยังฝากไว้กับบิ๊กหอยนั้น จะเลือนรางหรือเป็นไปได้
ยังไม่รู้ แต่บิ๊กหอยก็ได้วาดฝันไว้ว่า ไทยจะต้องหลุดเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในปี
ค.ศ.2002 แน่นอน ถ้าไม่ก็คงจะตัวใครตัวมันแล้วในตอนนั้น
งบประมาณเพื่อความฝันวางไว้ที่ 180-200 ล้านบาท ซึ่งบิ๊กหอยถือว่าคุ้มมากถ้าเทียบกับความสุขของคนไทยทั้งชาติ
60 ล้านคน ตกแล้วคนละ 3 บาทเอง ซึ่งถ้าเอาเงิน 3 บาทไปจ่ายก็ไม่มีความหมาย
แต่ถ้าฟุตบอลไทยได้เข้าบอลโลกปลื้มกันทั้งประเทศ
เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่บิ๊กหอยกล้าที่จะเผชิญทุกอย่าง ยอมเจ็บ ยอมโดนด่าแค่เพียงขอให้ตนเองได้ทำงานที่รักต่อไป
เพื่อเป้าหมายนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าโอกาสของเขาก็ยังมีอยู่กับงานตรงนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงวันนั้น
การเข้ามาของบิ๊กหอย ซึ่งเขายืนยันว่าเข้ามาด้วยใจบริสุทธิ์ หวังตอบแทนสังคมและรักกับมันจริงๆ
เป็นความมันที่บิ๊กหอยสะใจเมื่อคราวทีมไทยชนะ ซึ่งเราก็เชื่อเช่นนั้น แต่เขาก็ยอมรับว่าผลจากตรงนี้
เขาได้รับสิ่งตอบแทนอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้านชื่อเสียง ภาพพจน์
ที่ส่งผลต่อธุรกิจของเขาโดยปริยาย โดยที่ไม่ต้องใช้งบโปรโมชั่นเลย
เงินส่วนตัวที่จ่ายไปกับการเป็นผู้จัดการทีมชาติไทยตลอด 4 ปีที่ผ่านมารวมแล้วประมาณ
30 ล้านบาท แต่บิ๊กหอยก็ไม่ถือว่านั่นคืองบประมาณบริษัท เพื่อหวังผลทางธุรกิจ
แต่ถือเป็นเงินที่ต้องใช้อยู่แล้ว เพราะถ้าไม่เสียตรงนี้ก็ไปเสียกับการพนันด้านอื่นหมด
บิ๊กหอยยกตัวอย่างผลตอบแทนที่ได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจจากงานตรงนี้
"พอผมไปเป็นผู้จัดการทีมชาติ ผมก็ได้รับเชิญให้เป็นประธานฟุตบอลสโมสรนิสิตเก่าจุฬา
โดยตำแหน่งผมเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลจุฬาในบอลประเพณี ทำให้ผมรู้จักคุณพันธ์เลิศ
ใบหยก ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม โอเคเขาสร้างตึกใบหยกสอง ผมก็ถาม พันธ์เลิศ
งานคุณมีระบบไหม เขาบอกมีพี่ จะเอาเหรอ ผมก็บอกเอาเดะ เรายื่นแบบ มันก็ต่อรองกันง่ายๆ
และก็จบกันง่ายๆ อันนี้ก็ถือว่าใช่ แต่ไม่ได้ตั้งใจ"
จากวันแรกที่บิ๊กหอยก้าวเท้ามาสู่สนามฟุตบอลในระดับชาติ นักธุรกิจที่รายล้อมและเกี่ยวข้องกับบิ๊กหอยส่วนใหญ่จะกังขากับพฤติกรรมนี้
บางคนถึงหมั่นไส้ ว่าอวดรวยเอาเงินมาทิ้ง จะมีเพียงคนในตระกูลสัจจากุล เท่านั้นที่รู้ว่าบิ๊กหอยทำไปเพื่ออะไร
แต่มาวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป สายตาคู่เก่าเหล่านั้น เริ่มจะลังเลว่าสิ่งที่บิ๊กหอยทำอาจจะถูกเสียแล้วก็ได้