'แปลนกรุ๊ป' กำลังเติบใหญ่ การเกิดขึ้นของบ้านสวนริมคลองที่บางปะอิน เป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของแปลน
แต่ขณะเดียวกันแปลนก็ตั้งคำถามกับตัวเองมากยิ่งขึ้น ระหว่างความเป็น 'นักกิจกรรม'
กับ 'นักธุรกิจ' ยังเดินไปด้วยกันได้หรือไม่? บ้านที่เป็นเอกลักษณ์ของแปลนยังขายได้หรือ
ลูกค้าในอุดมคติของแปลนมีมากมายขนาดไหน สถาปนิกของแปลนถูกคำว่า "ตลาด"
กดดันมากน้อยเพียงใด คนรุ่นใหม่ของแปลนจะเผชิญความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเหล่านี้อย่างไร?
เมื่อ "ผู้จัดการ" ถาม "ธีรพล นิยม" ว่าปัจจุบันนี้แปลนได้รับรางวัลด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมลดลงไหม
เขาตอบทันทีอย่างไม่ลังเลว่า "ลดลง"
เขายอมรับว่า เป็นเพราะในอดีตแปลนสามารถออกแบบได้อย่างอิสระเสนอแนวคิดใหม่
เพื่อรายได้พอเลี้ยงตัวแต่ทุกวันนี้ บริษัทที่มาว่าจ้าง เป็นบริษัทใหญ่ การออกแบบเริ่มถูกกำหนดด้วยทิศทางทางการตลาดมากขึ้น
ดังเช่นที่กลุ่มแปลนถูกตั้งคำถามหรือตั้งคำถามกับตัวเองเสมอมาว่า แนวความคิดแบบ
"นักธุรกิจ" กับวิธีคิด วิธีการทำงานแบบ "นักกิจกรรม"
จะไปได้ด้วยกันหรือไม่ และจะประสบความสำเร็จทั้งในมุมมองของนักธุรกิจและนักกิจกรรมหรือไม่
ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา กลุ่มแปลนพิสูจน์ตัวเองว่า พวกเขาผสมผสานทั้งสองส่วนเข้าได้อย่างกลมกลืน
ผลงานการออกแบบของพวกเขาได้รับการยอมรับ ได้รางวัลมากมาย หนังสือ ของเล่น
โครงการบ้านจัดสรรได้รับการต้อนรับด้วยดี
พร้อมกับคนทำงานมีความเป็นตัวของตัวเอง
มาวันนี้ กลุ่มแปลนโตขึ้น มีรายได้พันล้าน มีบริษัทมากมาย มีพนักงานกว่า
1,000 คน มีโครงการบ้านจัดสรรขนาดใหญ่
กลุ่มแปลนถูกท้าทายด้วยคำถามเดิมๆ อีกครั้ง พร้อมกับความขัดแย้งภายในตัวเองที่อาจจะมากขึ้น
"ความขัดแย้ง" ของคนแปลนไม่ใช่ความขัดแย้งในเชิงธุรกิจหรือความขัดแย้งแบบทะเลาะโต้เถียงกัน
แต่เป็นการ "ตรวจสอบ" ตัวเอง บนความคิดและความเชื่ออันเป็นรากฐานและปรัชญาของแปลนเอง
ธีรพลไม่ปฏิเสธปรากฏการณ์นี้เช่นกันระหว่างการสนทนากับ "ผู้จัดการ"
เขาหันไปหยิบเอกสารเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเอกสารภายในแจกเฉพาะผู้บริหารระดับสูง
อธิบายถึงรากฐานของปัญหาและแนวทางที่จะเป็นไป
"ผมตั้งคำถามง่าย ๆ กับผู้ถือหุ้นว่าได้รับผลตอบแทนคนละ 1 ล้านบาทต่อปีพอไหม
ถ้าพอ ก็โอเค ทุกอย่างก็เป็นไปได้"
เขาพลิกเอกสารพร้อมกับยกข้อความบางตอนที่พูดถึง "พรหมวิหารสี่"
ความพอดีของชีวิต รวมไปถึงปรัชญาในการดำรงชีวิต ซึ่งในโลกธุรกิจทั่วไป ไม่ค่อยมีการอ้างถึงนัก
ในเอกสารของบริษัทธุรกิจเช่นนี้
ท้ายที่สุด เขาย้ำหลายครั้งว่าเพื่อนร่วมงานของแปลนต้องปรับตัว ซึ่งเขาหมายถึงการปรับตัวให้รับการแข่งขันในโลกธุรกิจ
ขณะเดียวกันก็ไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปท่ามกลางกระแสธุรกิจที่เชี่ยวกราก
"ถ้าคุณมีบริษัท มีธุรกิจ คุณปฏิเสธไม่ได้ที่บริษัทจะต้องโต ซึ่งก็โตตามธรรมชาติ
ตามวัฎจักรของธุรกิจ" ธีรพลให้เหตุผล
นับจาก "แปลน อาคิเตค" ซึ่งเป็นบริษัทเริ่มแรก ดูเหมือนว่า "บริษัทแปลน
เอสเตท จำกัด" จะเป็นตัวอย่างของปรากฎการณ์ที่ผู้ถือหุ้น ผู้บริหารและพนักงานของแปลนกำลังเผชิญอยู่ทั้งหมด
แปลนเอสเตททำธุรกิจบ้านจัดสรรบริษัทมีตัวสินค้าที่เป็น MASS PRODUCT มีลูกค้า
ที่เกี่ยวพันกับคนจำนวนมากไม่ใช่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม มีการบริหารที่ต้องคำนึงถึงเรื่องการตลาด
และมีการลงทุนซึ่งต้องเกี่ยวพันกับดอกเบี้ย เงื่อนไขทางการเงิน และตลาดหลักทรัพย์
แปลนเอสเตท ธีรพล นิยมและผู้ถือหุ้น รวมไปถึงพนักงานของแปลนเอสเตทเดินไปข้างหน้าอย่างไร
?
ธีรพล นิยม ต้องการให้แปลนเอสเตทเป็นบริษัท "BOUTIQUE COMPANY -บูติค
คัมปานี" ที่สร้างสรรค์งานอย่างมีคุณภาพ และมีอิสระ และอาจไม่จำเป็นต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์
เป็นบทสรุปที่เห็นพ้องต้องกันทั้งในส่วนของผู้ร่วมก่อตั้งแปลนกรุ๊ป และบันเทิงตันติวิท
(กรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติในขณะนั้น) ตัวแทนของธนชาติ
และกลุ่มบริษัทในเครือที่มาเข้าร่วมถือหุ้น
ด้วยพื้นฐานการออกแบบที่มีผลงานได้รับรางวัลมากมาย แน่นอนของสวยและมีคุณภาพ
ราคาต้องแพง บ้านของแปลนในโครงการที่ผ่านมาจึงจับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงเป็นหลัก
ทั้ง ๆ ที่ธีรพลเองต้องการที่จะสร้างบ้านที่สวยและมีคุณภาพ เพื่อเป็นสวรรค์กับคนชั้นกลางบ้าง
แปลนเอสเตทได้เคยพยายามที่จะทำบ้านของคนชั้นกลางในที่ดินย่านบางมดโดยตั้งเป้าจะให้เป็นโครงการที่สะท้อนเอกลักษณ์ของบริษัทคือทั้งสวยทั้งดี
แต่ปรากฏว่าโครงการมีราคาต่อหน่วยแพงกว่าโครงการอื่น ๆ ที่อยู่ในทำเลเดียวกันก็เลยต้องล้มเลิกความคิดไป
จุดอ่อนในเรื่องของต้นทุนการก่อสร้างที่สูงกว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์
เป็นปัญหาของบริษัทนอกตลาดโดยทั่วไป
แปลนเอสเตทเติบโตมาจากบริษัท สถาปนิก "แปลนอาคิเต็ค" ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องผลงานออกแบบ
นอกจากรับออกแบบแล้วยังศึกษาความเป็นไปได้และร่วมทุนด้วยหลายโครงการเช่นปาริจฉัตถ์อาพาร์ทเม้นท์
1 และ 2 โครงการที่พักอาศัยพัดศรี โครงการบ้านเอื้ออาทรรวมทั้งร่วมลงทุน
และบริหารโครงการอาคารชุด สิทธาคาร และโครงการบ้านลัดดาว และทุกโครงการสามารถขายได้อย่างรวดเร็ว
"เป็นช่วงที่ธุรกิจกำลังบูมเต็มที่ด้วย ทำอะไรก็ขายได้หมด เขาเรียกว่าปลาเค็มก็ว่ายน้ำได้ในช่วงนั้น"
ธีรพลยอมรับกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นใจการทำงานของธีรพลในช่วงแรก ๆ นั้นจึงไม่ค่อยเป็นระบบมากนัก
เขาใช้อารมณ์ของศิลปินในการทำงาน ทุกโครงการเกิดจากอารมณ์และ "ความรู้สึก"
ของเขากับอำพล กีรติบำรุงพงษ์ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทผู้หนึ่ง ที่จินตนาการกันว่าสร้างแบบนี้น่าจะขายได้
โดยที่ไม่ได้หาข้อมูลมายืนยันความคิดเลย โชคดีที่อารมณ์และความรู้สึกของเขาขายได้จริง
ๆ
แปลนได้ทั้งเงินทั้งกล่อง พร้อม ๆ กับมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าโปรดักส์จะสร้างกำลังซื้อได้แน่นอน
ทุกโครงการของเขาจึงใช้โปรดักส์นำ
ในช่วงปี 2525-2530 แปลนอาคิเต็คได้รับรางวัลทางด้านการออกแบบจากสมาคมสถาปนิกสยาม
และสมาคมสถาปนิกแห่งเอเชีย ต่อเนื่องกันเกือบทุกปีโดยเฉพาะผลงานในเรื่องบ้านสวนริมคลอง
บ้านสวนปาริจฉัตถ์ 1 คลองสามเสนได้รับรางวัลผลงานสถาปัตยกรรมดีเด่นเมื่อปี
2524 บ้านสวนปาริจฉัตถ์ 2 ได้รับรางวัลที่สมควรเผยแพร่อย่างยิ่งปี 2525 บ้านสวนคลองต้นสน
ได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกเอเชียเมื่อปี 2532 โดยเฉพาะในปี 2530 นั้น ผลงานการออกแบบของแปลนอาคิเต็คได้รับรางวัลถึง
5 โครงการ
ตัวรางวัลเป็นเหมือนสปริงบอร์ดก้าวไปสู่ธุรกิจเรียบเอสเตทอย่างเต็มตัว
ประกอบกับ ประสบการณ์พร้อม กำลังคนก็พร้อมแปลนเอสเตท จึงตั้งขึ้นในปี 2531
เขาสุนกในการทำงานเรียลเอสเตทมากขึ้นเมื่อได้กำไรจากการขายที่ดิน มาเกือบ
100 ล้านบาทมาเหนาะๆ
ที่ดินแปลงนี้มีจำนวน 50 ไร่ย่านนิคมนวนครซื้อมาเมื่อปี 2531 ปล่อยขายไปเมื่อปี
2534
ยิ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเมื่อได้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ และบริษัทในเครือ
เข้ามาถือหุ้นด้วยเมื่อปี 2533 ในสัดส่วนฝ่ายละ 50% เงินทุนจดทะเบียน 100
ล้านบาท โดยที่ทางแปลนกรุ๊ปมีธีรพลและอำพล เป็นตัวจักรสำคัญ ในการคิดค้นงาน
สำหรับแปลนเอสเตทถือหุ้นในนามของผู้ร่วมก่อตั้งแปลนกรุ๊ปทั้งเจ็ด (อ่านรายชื่อในล้อมกรอบ)
ธนชาติถือหุ้น 10% ที่เหลือเป็นของบริษัทโยทะกา และสุพรรณิการ์ รวมกัน 40%
ปัจจุบันบริษัทมีบันเทิงตันติวิท เป็นประธานที่ปรึกษา ศุภเดช พูนพิพัฒน์
เป็นรองประธาน ธีรพล เป็นกรรมการผู้จัดการ โดยมีอำพล และปิยะพงศ์ อาจมังกร
เป็นกรรมการบริหาร
แปลนเอสเตทเริ่มทำโครงการบ้านจัดสรรครั้งแรกที่บางมด โดยใช้จุดเด่นของความคิดในเรื่องบ้านสวนริมคลองที่เคยได้รับรางวัลมาแล้วเป็นจุดขาย
คนที่ชี้นำความคิดนี้และมั่นใจว่าถูกต้องคือธีรพลกับอำพลเช่นเคย
เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างดีจริง ๆ ในการขายโครงการในเฟสแรก ๆ มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งพอใจในเรื่องรูปแบบของบ้านสวนและมีความพร้อมในเรื่องกำลังเงิน
ที่จะซื้อ สินค้าสามารถขายได้จริง ๆ คือสิ่งที่ตอกย้ำความคิดของทั้งสองในขณะนั้น
แต่บ้านสวนริมคลองบางมดสร้างความดีใจให้กับกลุ่มแปลนเพียงไม่กี่เดือน ระยะเวลาต่อมาโครงการกลับขายช้าขึ้นเรื่อย
ๆ แปลนต้องใช้เวลาถึง 3 ปีถึงจะขายโครงการแห่งนี้หมด
"ช่วงเปิดขายอยู่ในยุคพลเอกชาติชายเป็นนายกรัฐมนตรี คนมีเงินเหลือจากเล่นหุ้นกับเก็งกำไรที่ดิน
ก็เลยมีเงินมาซื้อและแบบบ้านตอนนั้นถือว่าแปลกใหม่มากคนก็เลยชอบ" ธีรพลอธิบายเมื่อมองไปในอดีต
การใช้ความรู้สึกส่วนตัวเพียงอย่างเดียว โดยขาดการศึกษาความเป็นไปได้มายืนยัน
คือบทเรียนที่กลุ่มแปลนได้รับมาเต็ม ๆ
ธีรพลยังพบบทสรุปอีกเรื่องว่าบ้านในอุดมคติของคนจริง ๆ แล้วคือบ้านเดี่ยวไม่ใช่ทาวน์เฮาส์
ในเมื่อในย่านบางมดนั้นยังพอหาซื้อบ้านเดี่ยวในราคาประมาณ 1-2 ล้านบาทได้
ทาวน์เฮาส์ราคา 2 ล้านบาทในโครงการของเขาย่อมขายยากเป็นธรรมดา
แต่ถึงกระนั้นแปลนเอสเตทก็ถือว่าโครงการบ้านสวนริมคลองบางมดประสบความสำเร็จน่าพอใจระดับหนึ่ง
แปลนยังโชคดีที่เมื่อช่วงปี 2535 นั้นสามารถที่จะขายโครงการอาคารสำนักงาน
"กลาสเฮ้าส์" ซึ่งสูง 16 ชั้น ปากซอยสุขุมวิท 25 ทั้งโครงการให้กับทางกลุ่มบริษัทบ้านฉางของไพโรจน์
เปี่ยมพงษ์สานต์ไปได้สำเร็จ ตอนนั้นไพโรจน์ต้องการซื้อตึกนี้เป็นทรัพย์สินเบิกทางเข้าตลาดหลักทรัพย์
แปลนเอสเตทเองต้องการขาย เพื่อเม็ดเงินที่จะได้ไหลเข้าบริษัทอย่างรวดเร็วและเป็นกอบเป็นกำ
โดยมีธนชาติอีกนั่นแหละเป็นตัวประสาน
แปลนอยู่ในวงการตึกสูงมานานแต่เมื่อเขาเริ่มต้นพัฒนาขายเอง สภาพของตึกสูงก็ค่อนข้างล้นตลาด
วิธีการขายยกตึกเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
ว่ากันว่างานนี้สร้างผลกำไรให้กับแปลนเอสเตทนับ 100 ล้านบาท จริงหรือไม่จริงแต่มันก็ทำให้แปลนเอสเตทมีเงินไปซื้อที่ดินแปลงใหม่บนถนนกรุงเทพกรีฑา
ที่กรุงเทพกรีฑาเป็นอีกบทเรียนหนึ่งของธีรพล
โครงการบ้านสวนริมคลอง บนถนนกรุงเทพกรีฑา มีเนื้อที่ประมาณ 27 ไร่ซึ่งธนชาติเป็นผู้แนะนำที่ดินให้แปลนเอสเตท
ในโครงการนี้ตอนแรกมีทางเลือกให้ธีรพลอยู่ 2 ทางคือ หนึ่ง-ทำเป็นทาวน์เฮาส์ริมคลองราคา
3 ล้าน กับสอง-สร้างบ้านเดี่ยวราคา 7-8 ล้าน ปรากฏว่าราคาของทาวน์เฮาส์นั้นไปตรงกับราคาของบ้านเดี่ยวในโครงการบางกอกแลนด์ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายเดียวกัน
และเปิดตัวพร้อม ๆ กัน ส่วนทางเลือกที่สองก็มีคนทำมากอยู่แล้ว
ธีรพลตัดสินใจเลือกทางที่สามสร้างเป็นกรุ๊ปเฮาส์ในราคาประมาณ 5 ล้านบาท
โครงการดังกล่าวถือเป็นโครงการที่สวยที่สุดโครงการหนึ่งบนถนนกรุงเทพกรีฑา
แบบบ้านสวย แปลกตา มีพื้นที่ส่วนกลางมาก ต้นไม้รายล้อม มีธารน้ำอยู่กลางโครงการ
ผ่านบ้านทุกหลัง และมีทางเดินสะพานเชื่อมโยงบ้านทุกหลังเพื่อให้เกิดชุมชนที่มีกิจกรรมร่วมกัน
ซึ่งอาจจะเป็นกิจกรรมทางด้านศิลปวัฒนธรรม
เป็นโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนโครงการที่บางมด และไม่เป็นโครงการโหลแบบบ้านจัดสรรทั่วไป
ธีรพลกล่าวว่า โครงการนี้ขายไปได้เรื่อย ๆ แต่ไม่หวือหวาแบบโครงการที่บางมด
นอกเหนือจากปัจจัยทางด้านสถานการณ์เศรษฐกิจแล้ว ธีรพลก็เริ่มสรุปอีกว่ามาจากตัวสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย
เขาเชื่อว่า ถ้าตัดสินใจทำทาวน์เฮาส์ในระดับราคา 2-3 ล้านบาท ป่านนี้โครงการที่กรุงเทพกรีฑาคงขายหมดไปแล้วข้อสรุปนี้แปลนเอสเตทได้จากการสอบถามจากลูกค้าที่เข้ามาชมโครงการที่มีอยู่เยอะมาก
"ถือได้ว่าเป็นโครงการที่มีคนมาชมเยอะมาก" ธีรพลกล่าวแบบยิ้ม
ๆ
เกือบทุกคนชอบ แต่สู้ราคาไม่ไหวและเมื่อเปรียบเทียบราคากับบ้านเดี่ยวหลายคนซื้อบ้านเดี่ยวดีกว่า
กลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ก็เลยกลายเป็นลักษณะผกผัน คือ ผู้ที่ชอบแบบบ้านก็ไม่มีกำลังซื้อ
ผู้ที่มีกำลังซื้อก็ชอบบ้านเดี่ยวมากกว่า
ปัจจุบันแปลนเอสเตทก็ต้องปรับตัวโดยลดขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้านลงมาและลดราคาลงมา
เริ่มที่ราคา 4 ล้านบาท
ข้อสรุปอีกอย่างหนึ่งที่แปลนเอสเตทได้รับก็คือ ลูกค้าบางรายอาจจะไม่มีปัญหาเรื่องราคา
แต่กลับมีปัญหาเรื่อง "ทำเล" ดังนั้นถ้าแปลนมีโครงการลักษณะนี้กระจายไปทั่วหลายจุด
ก็อาจจะสนองกำลังซื้อของลูกค้าที่อยู่ตามจุดต่าง ๆ ได้ด้วย ปัญหาเรื่องที่ดินทำโครงการเป็นสิ่งหนึ่งที่แปลนเองได้แนวทางแก้ไขไว้แล้วเพียงแต่ตอนนี้แปลนเอสเตทยังไม่พร้อมที่จะขึ้นโครงการพร้อม
ๆ กัน
เมื่อเดือนเมษายน 2539 บ้านสวนริมคลองกรุงเทพกรีฑา ได้รับเกียรติคุณโครงการดีเด่นด้านสถาปัตยกรรมไทยประเภทสร้างสรรค์
เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย
โครงการนี้ แปลนเอสเตทประสบความสำเร็จเรื่องรางวัลเช่นกันแต่ในเรื่องยอดขายเชื่อว่าคงต้องพยายามกันอย่างยิ่งเพื่อปิดการขายให้เร็วขึ้น
ในขณะที่การขายโครงการที่กรุงเทพกรีฑากำลังเข้มข้น แปลนเอสเตทก็ไปเปิดบ้านสวนริมคลอง-บางปะอิน
ที่จังหวัดอยุธยา เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
"ก็ใช้วิธีการมองตลาดแบบเดิม" ธีรพลยอมรับกับ "ผู้จัดการ"
เขาตัดสินใจซื้อที่ดินแปลงนี้จำนวน 268 ไร่มาตั้งแต่ปี 2533
ผมไปยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำวัดนิเวศธรรมประวัติ มองเห็นความเงียบสงบของที่ดินก็เลยตัดสินใจซื้อ
ตอนนั้นไม่คิดมากเพราะเป็นช่วงที่ซื้อมาทำอะไรก็ได้หมด"
แต่คราวนี้ธีรพลโชคไม่ดี หลังจากที่เขาซื้อมาไม่กี่เดือนก็เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย
รูปแบบโครงการที่วาดฝันไว้ว่าจะสร้างเป็นลากูนที่จะให้บ้านทุกหลังติดน้ำมีเรือเข้ามาถึงตัวบ้าน
โดยพุ่งเป้าไปยังตลาดของลูกค้าที่ร่ำรวยมีเรือยอชต์ขับเล่นไปมาในสายน้ำเจ้าพระยาก็ต้องพับไป
ที่ดินแปลงนี้ถูกหยิบขึ้นมาปรึกษาหารือบนโต๊ะของกรรมการบริษัทอีกหลายครั้งในช่วงเวลาต่อมา
แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าจะทำโครงการแบบไหน ขายใครจนในที่สุด ธีรพลตัดสินใจทำเป็นบ้านหลังที่
2 ของคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการพักผ่อนและการทำกิจกรรมในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
โดยมั่นใจว่าทำเลไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และมีการเดินทางได้หลายทางทั้งรถยนต์
รถไฟและเรือ
บ้านสวนริมคลองบางปะอินเป็นโครงการในพื้นที่ใหญ่ที่สุดของแปลนเอสเตทในระดับราคาที่เริ่มมีความเป็นไปได้สำหรับคนชั้นกลางมากขึ้น
ชุมชนเจ้าพระยา-บางประอินอยู่ในเนื้อที่ 268 ไร่ มีพื้นที่ขายตั้งแต่ 80
ตารางวาขึ้นไป มีทั้งหมด 560 ยูนิต ราคาตารางวาละประมาณ 32,000 บาทขึ้นไป
พื้นที่ดินของโครงการไม่ได้ติดแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด ที่ดินส่วนใหญ่จะติดคลอง
ที่จะมีการขุดลึกเข้าไปถึง 5 กิโลเมตร ทุกแปลงจะต้องมีสิ่งปลูกสร้างตามที่ทางโครงการได้ออกแบบไว้
มีต้นไม้ริมน้ำที่ทางบริษัทจะปลูกให้ฟรีโครงการละ 2 ต้น
จุดขายของโครงการนี้อยู่ที่ความสงบของชุมชนริมน้ำ มีสโมสรใหญ่ 2 แห่งที่จะสามารถสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ
รวมทั้งลานเวทีกลางแจ้ง
สโมสรและลานกิจกรรมดูจะเป็นจุดขายที่สำคัญของแปลน โดยเฉพาะภาพโฆษณาที่ให้เห็นวงดนตรีกำลังบรรเลงริมน้ำเจ้าพระยา
โดยมีวัดนิเวศธรรมประวัติเป็นฉากหลัง แสดงถึงรสนิยมความสุนทรีและกิจกรรมที่น่าจะร่วมกันมีขึ้นของชุมชนแห่งนี้
ถึงแม้วันนี้ บริเวณโครงการยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่นัก นอกจากตัวสโมสรที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์
แต่ต้นไม้ใหญ่เพิ่งทยอยเอามาลง คลองกำลังดำเนินการขุดอย่างเร่งรีบ สายลมเย็นในแม่น้ำเจ้าพระยายังไม่เพียงพอที่จะดับความร้อนกลางเดือนเมษายนนี้ได้
แต่โครงการนี้ก็ได้สร้างยอดขายไปได้พอสมควร
"ขายไปได้ประมาณ 50%" ธีรพลกล่าวและไม่แสดงท่ทีวิตกกังวลเกี่ยวกับยอดขายนัก
เขามั่นใจว่า เมื่อโครงการเปิดตัวสมบูรณ์แบบ ก็ไม่น่าจะมีปัญหากับยอดขาย
แน่นอนกลุ่มคนซื้อต้องเป็นกลุ่มที่ติดตามผลงานแปลนพอสมควร และให้ความมั่นใจว่าแปลนเอสเตทกำลังทำอะไรอยู่
โดยเฉพาะลูกค้าในวงการโฆษณา ในวงการศิลปิน จะให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะคราวนี้มันเป็นการซื้อโครงการในฝันจริง
ๆ
ยอดขายในโครงการบ้านสวนริมคลองที่บางปะอินจะเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่าที่ผ่านมาแปลนเดินมาถูกทางหรือเปล่า
และแปลนจะได้รับบทเรียนอะไรอีกบ้างจากการทำโครงการนี้
จากการทำโครงการที่ผ่านมาแล้วทั้งสาม แปลนได้รับบทเรียนอีกหลายอย่าง เช่น
เขาให้ความสำคัญกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการน้อยไป การทำโครงการโดยหวังที่จะเอาโปรดักส์สร้างความต้องการซื้อนั้นไม่ประสบความสำเร็จโดยเสมอไป
และที่สำคัญกระบวนวิธีการทำงานของแปลนไม่ได้เนื่องมาจากข้อมูลที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
เป็นความผิดพลาดที่ธีรพลต้องแก้ไขในองค์กรของเขาต่อไป
ในการทำธุรกิจบ้านจัดสรรกลยุทธ์ทุกอย่างมันเลียนแบบกันได้หมด โดยเฉพาะแบบบ้านเป็นสิ่งเลียนแบบกันได้ง่ายที่สุด
ดังนั้นจุดแข็งในเรื่องแบบอย่างเดียวไม่เพียงพอแน่นอน แปลนต้องหาช่องทางอื่นที่จะหนีคู่แข่งขันให้ได้
แปลนเอสเตทมีปัญหาในเรื่องต้นทุนในการทำโครงการสูงกว่าบริษัทโดยทั่วไปประมาณ
20% สาเหตุหนึ่งมาจากต้นทุนในราคาที่ดิน ซึ่งหลายแปลงซื้อมาในช่วงที่ราคาแพงมาก
การทิ้งไว้นานไม่นำมาพัฒนาก็จะเป็นปัญหาเรื่องการเงินเช่นอัน แปลนเอสเตทจำเป็นต้องหาทางออก
"แต่ปัญหาเรื่องที่ดินไม่ใช่ปัญหาใหญ่การมีแลนด์แบงก์มากๆ ในปัจจุบันต่างหากที่ทำให้บริษัทมีปัญหา"
ธีรพลกล่าว
ในสายตาของเขา ที่ดินนั้นหาได้เสมอ ความสำคัญอยู่ที่ต้องพัฒนาได้ทันทีในวันนี้
ไม่ใช่ซื้อมาเก็บไว้เป็นภาระ ซึ่งที่ดินแบบหลังนี้หาได้มากมาย
การหาพันธมิตรซึ่งมีที่ดินในทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูง แต่ไม่มีที่ดินทำเป็นการหนีคู่แข่งคือสิ่งที่แปลนกำลังทำ
แปลนโชคดีที่มีเจ้าของที่ดินหลายรายที่มั่นใจในตัวบริษัทและเสนอที่ดินเข้ามาให้เลือกหลายแปลง
อีกทั้งเป็นพันธมิตรหรือถือหุ้นในโครงการร่วมกัน
โครงการแรกที่จะเปิดเร็ว ๆ นี้ก็คือที่ดินเก่าแปลงหนึ่งเนื้อที่ประมาณ
3 ไร่ ย่านราชวัตร
ด้วยวิธีการนี้ทำให้ปลดปัญหาเรื่องที่ดินในการทำโครงการไปได้เปลาะหนึ่ง
นอกจากหนีคู่แข่งด้วยทำเลแล้ว แปลนจำเป็นต้องทำโครงการในลักษณะนี้พร้อม
ๆ กันหลายโครงการเพื่อสนองตอบลูกค้าในหลาย ๆ ทำเลและต้องเร่งมือในการทำโครงการให้เร็วขึ้น
แปลนเอสเตทมาจากสายงานสถาปนิกที่จะเน้นในเรื่องความแปลกใหม่ และการดีไซน์ที่เป็นลักษณะของโฮมเมด
ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ได้รับรางวัล แต่ต่อไปความสำคัญในเรื่องนี้จำเป็นจะต้องลดน้อยลง
เพื่อช่วยเร่งให้แต่ละโครงการเสร็จเร็วขึ้นด้วย
นอกจากนี้ในช่วงปี 2539 นี้ แปลนเอสเตทได้ปรับองค์กรในหลาย ๆ เรื่องด้วยกันเช่น
เริ่มมีฝ่ายพัฒนาธุรกิจที่จะคอยคิดค้นโครงการใหม่รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้อย่างมีระบบ
มีฝ่ายบริหารหมู่บ้านรับผิดชอบเรื่องดูแลหลังการขายของทุกโครงการรวมทั้งมีฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นด้วย
เรื่องการนำแปลนเอสเตทเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นเรื่องที่ผู้บริหารแปลนเคยคิดโดยเฉพาะในอดีต
แปลนเอสเตทอยู่ในเงื่อนไขที่เข้าได้ แต่ธีรพลกล่าวว่า ในช่วงนั้นผู้บริหารไม่ได้รีบร้อนและก็อยู่ในช่วงตัดสินใจ
"เรื่องเข้าตลาดเป็นเรื่องที่คุยกับคุณศุภเดชจากธนชาติอยู่แล้ว ว่าไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นหรือรีบร้อน"
ยิ่งมาวันนี้ เงื่อนไขเข้าตลาดหุ้นยากมากขึ้น และหากแปลนเอสเตทจะเข้าตลาดก็ต้องทำ
"การบ้าน" มากขึ้นเรื่องเข้าตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นเรื่องห่างตัวออกไปอีก
ความกังวลของแปลนในเรื่องตลาดหลักทรัพย์คือความเป็นอิสระ ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งคำถามว่า
ทิศทางในอนาคตของแปลนจะเป็นไปในรูปใด จะเป็นบริษัทที่ต้องเร่งทำผลกำไรให้ทันใจผู้ถือหุ้น
หรือเป็นบริษัทขนาดกลางนอกตลาดหลักทรัพย์ที่เข้มแข็งเท่านั้นก็พอ
ธีรพลออกตัวว่า แปลนเอสเตทยังใหม่เกินไปกับธุรกิจพัฒนาที่ดิน ยังไม่มีความเชี่ยวชาญช่ำชองพอที่จะเสนอตัวให้กับประชาชน
วิธีคิดวิธีการทำงานของแปลนเอสเตทยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้และปรับปรุงแก้ไข
เรื่องเข้าตลาดหลักทรัพย์จึงยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนสำหรับการสนทนาในวันนั้นกับธีรพล
"แต่ถ้าหากเราจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เราก็ต้องเป็นแชมป์ อย่างน้อยก็เป็นแชมป์รุ่นฟลายเวทให้ได้"
ธีรพลกล่าวทิ้งท้ายอย่างติดตลก