"พิเชษฐ์ เวชสุภาพร ไม่รีบร้อน ในสถานการณ์ที่รุ่มร้อนเพิ่มขึ้นทุกขณะ"


นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

"ความต้องการลึก ๆ ของผมแล้วผมอยากจะเป็นเพียงนักสังเกตการณ์ในวงการค้าปลีก แต่ในความเป็นจริงผมก็มีความจำเป็นที่จะต้องหาธุรกิจมาทำเพื่อเป็นรายได้หลัก" พิเชษฐ์ เวชสุภาพร กล่าวถึงเบื้องหลังของการตัดสินใจหวนคืนเวทีค้าปลีกอีกครั้งในฐานะเถ้าแก่ด้วยการตั้งบริษัท วี-เซิร์ฟ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อรุกสู่ธุรกิจค้าปลีกขนาดย่อมรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ "วี-เซิร์ฟ คอมมูนิตี้มอลล์" เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา

บริษัท วี-เซิร์ฟ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของคนในตระกูล "เวชสุภาพร" กล่าวได้ว่าเป็นบริษัทครอบครัว ซึ่งนอกเหนือจากพิเชษฐ์แล้ว ยังมีปรีชา เวชสุภาพร รองประธานกรรมการบริหารโรบินสัน ซึ่งเป็นพี่ชายของเขาเข้ามาถือหุ้นในบริษัทด้วย โดยปรีชาไม่ได้เข้ามามีส่วนในการบริหารงานแต่จะคงบทบาทในฐานะที่ปรึกษาให้กับพิเชษฐ์เท่านั้น

วี-เซิร์ฟ คอมมูนิตี้มอลล์ นับเป็นอีกรูปหนึ่งรูปแบบของธุรกิจค้าปลีกที่เน้นการขยายสาขาเปิดบริการอิงกับย่านชุมชนโดยเฉพาะหมู่บ้านซึ่งจะต้องมีอยู่ประมาณ 3-4 พันหลังคาเรือนเป็นหลัก พื้นที่ภายในจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักคือพื้นที่ส่วนกลางเป็นซูเปอร์มาร์เกตขนาดประมาณ 1,000 ตร. ม. ชื่อ วี-เซิร์ฟ เดลี่มาร์เกต ส่วนที่เหลือจะเป็นพื้นที่ร้านค้าย่อย

นอกเหนือจากตัวอาคารที่ภายในพื้นที่มีซูเปอร์มาร์เกตและร้านค้าอาทิ ร้านหนังสือดอกหญ้า ร้านเท็กซัสสุกี้ที่ติดตามกันมาตั้งแต่สาขาแรกที่บางบัวทองแล้ว ที่รามอินทรา วี-เซิร์ฟ คอมมูนิตี้มอลล์ ยังเริ่มมีพันธมิตรซึ่งมาเช่าพื้นที่ร้านค้าเพิ่มขึ้นอีกไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารมธุรสแปดริ้ว เอสแอนด์พี และอื่น ๆ ที่เป็นสิ่งดึงดูดผู้คนละแวกนั้นแล้ว

ขณะนี้พิเชษฐ์ยังใช้ระบบ "KNOCK DOOR" ตามที่พักอาศัยในย่านนั้นเพื่อแนะนำตัวเองกับกลุ่มลูกค้าพร้อมเชิญชวนให้สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับสิทธิพิเศษ พร้อมบริการเสริมด้วยการรับชำระค่าน้ำ-ไฟฟ้า และยังมีโฮม คลินิก รับบริการซ่อมระบบไฟฟ้ากรณีมีปัญหา หรือรับสั่งของบริการส่งถึงที่ฟรีโดยไม่คิดค่าบริการแต่อย่างใด

"ผมขายให้กับคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เป็นสนามเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ไปแข่งกับค้าปลีกรายใหญ่ เป็นค้าปลีกขนาดย่อมที่พาตัวเองไปบริการชุมชนที่อยู่อาศัยเป็นการขายความสมบูรณ์และสะดวก" พิเชษฐ์ เวชสุภาพร ในฐานะประธานกรรมการบริษัท วี-เซิร์ฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

พิเชษฐ์ เวชสุภาพร นับเป็นอีกหนึ่งในทีมงานของโรบินสันในยุคเริ่มต้น ซึ่งหากจะนับระยะเวลาในธุรกิจค้าปลีกแล้ว เขาจัดเป็นมืออาชีพที่คร่ำหวอดในวงการนี้มานานถึง 15 ปี เขาร่วมงานกับกลุ่มผู้บริหารโรบินสันโดยการได้รับมอบหมายให้ดูแลงาน 2 ส่วนคือโรบินสันสาขาแรกคือที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและเอสแฟร์ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย

ยุคนั้นพิเชษฐ์สามารถผลักดันให้เอสแฟร์ประสบความสำเร็จในวงการเสื้อผ้าชาย และเมื่อโรบินสันเริ่มขยายสาขาแห่งที่ 2 ไปที่ราชดำริ เขาก็ย้ายมาเป็นผู้จัดการแผนกซูเปอร์มาร์เกตที่ราชดำริและนับเป็นผู้จัดการแผนกซูเปอร์มาร์เกตคนแรกของโรบินสัน หลังจากทำงานด้านนี้มาได้ 2 ปีพิเชษฐ์ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการทั่วไปที่สาขาราชดำริ

เมื่อโรบินสันขยายสาขาไปที่รัชดาภิเษก พิเชษฐ์ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการทั่วไปอาวุโสเพื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับผู้จัดการสาขา เขาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายบริหารสินค้าทั่วไปดูแลศูนย์กลางจัดซื้อของโรบินสันซึ่งในขณะนั้นมีอยู่ 5 สาขา

ปี 2535 เมื่อทางโรบินสันร่วมมือกับทางแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งบริษัท สยามรีเทลดีเวลล้อปเมนท์ เปิดโครงการศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ พิเชษฐ์ก็ถูกส่งไปกินตำแหน่งรองประธานบริหาร

แต่เพียงระยะเวลา 1 ปี พิเชษฐ์ก็ตัดสินใจลาออก โดยใช้ชีวิตหลังจากนั้นเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางข่าวลือแพร่สะพัดว่าเขาขัดแย้งกับทีมผู้บริหารของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

แต่ในวันนี้ข่าวลือดังกล่าวก็ต้องสงบลงเมื่อพบว่า วี-เซิร์ฟ คอมมูนิตี้มอลล์ ของเขาทั้ง 2 สาขาคือสาขาแรกที่หมู่บ้านชลดา บางบัวทอง และสาขาที่ 2 ซึ่งเพิ่งเปิดบริการไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาที่หมู่บ้านชัยพฤกษ์ รามอินทรา ต่างล้วนเป็นโครงการของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ทั้งสิ้น

"ผมใช้ช่วงเวลาที่อเมริกาเรียนรู้ทุกอย่าง เรียนภาษา เทกคอร์สวิชาด้านไดเร็กต์มาร์เกตติ้ง มาร์เกตติ้งรีเสิร์ช มาร์เกตติ้งรีเอ็นจิเนียริ่ง หรือแม้แต่ขับเรือ"

พิเชษฐ์ใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาประมาณเกือบปี เขาเห็นความเป็นอยู่ที่นั่น เห็นชอปปิ้งมอลล์ที่เปิดบริการกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อบวกกับประสบการณ์ในวงการค้าปลีกแล้วทำให้เขาเริ่มเห็นว่ารูปแบบชอปปิ้งมอลล์ที่เปิดกันดาษดื่นนี้ น่าจะเป็นแนวโน้มซึ่งสามารถแจ้งเกิดได้ในเมืองไทย

"เพราะสาขาแรกที่บางบัวทองซึ่งเปิดบริการเมื่อปีที่ผ่านมา แต่พอเปิดก็เจอปัญหาเรื่องน้ำท่วม ตอนนี้เลยยังวัดผลอะไรไม่ได้ เป้าหมายปีนี้เราจะคงอยู่ที่ 2 สาขาไม่ขยายต่อ ซึ่งที่รามอินทราน่าจะใช้เวลาครึ่งปีเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ว่าเราจะขยายไปในทิศทางใด เราไม่รีบร้อนแม้จะมีบริษัทพัฒนาที่ดินหลายรายติดต่อเข้ามาก็ตาม"

นับเป็นการสวนกระแสการแข่งขันที่ปัจจุบันแนวโน้มการแข่งขันในรูปแบบค้าปลีกขนาดย่อมกำลังเพิ่มความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะ เมื่อพบว่าปัจจุบันบริษัทพัฒนาที่ดินต่างให้ความสนใจกระโจนเข้าสู่ธุรกิจนี้กันอย่างต่อเนื่อง โดยมีทำเลเจาะตามย่านชุมชนเป็นหลักเช่นกัน

"เราจะไม่แข่งขันกับใครแต่จะเป็นการแข่งขันกับตัวเองเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในเรื่องการจัดการและการบริหาร เราจะต้องควบคุมทั้งต้นทุนและระบบให้มีมาตรฐาน ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเราก็พร้อมที่จะขยาย ตรงจุดนั้นเรามีความคิดที่จะนำระบบแฟรนไชส์เข้ามาช่วยในการขยายสาขาด้วย"

ดังนั้นเพื่อนำวี-เซิร์ฟ คอมมูนิตี้มอลล์ ไปสู่การบริการที่สมบูรณ์แบบและสะดวกสบายกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด ซึ่งนักธุรกิจวัย 48 ปีผู้นี้เชื่อมั่นว่า คือแต้มต่อที่ทำให้ในปีนี้เขาจึงตัดสินใจวางมือกับการขยายสาขาหันมาทุ่มเทกับการศึกษาและปรับปรุงรูปแบบสาขาทั้ง 2 แห่งที่มีอยู่เพื่อหารูปแบบสาขาทั้ง 2 แห่งที่มีอยู่เพื่อหารูปแบบที่มีมาตรฐานที่สุดมาเป็นแม่บทนั่นเองเข้าทำนอง "SLOW BUT SURE"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.