หุ้นขานรับทักษิณเว้นวรรคดัชนีพุ่ง22จุดต่างชาติซื้อเกือบ1.5หมื่นล.


ผู้จัดการรายวัน(6 เมษายน 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ตลาดหุ้นรับข่าวนายกฯเว้นวรรครับตำแหน่ง ระหว่างวันดัชนีพุ่งขึ้นสูงสุดเกือบ 28 จุดก่อนมีแรงขายเล็กน้อยมาปิดบวก 22.74 จุด

นักลงทุนต่างชาติคลายกังวลไล่ซื้อหุ้นบิ๊กแคปไม่ยั้งล่าสุดซื้อสุทธิเกือบ 1.5 หมื่นล้าน "กิตติรัตน์"ระบุนักลงทุนได้รับข้อมูลที่รอคอยเพิ่มขึ้น ด้านนายกฯสมาคมรายย่อย เผยนายกฯพูดยังไม่ชัดเจน ชี้นักลงทุนไล่ซื้อเพราะประเมินความเสี่ยงได้มากขึ้น "มนตรี" เชื่อตลาดหุ้นขึ้นเค่ช่วงสั้น "ศุภวุฒิ" ยังเชื่อดัชนีสิ้นปีมีโอกาสแตะ 880 จุด คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 4.5%

ภายหลังการประกาศเว้นวรรคทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐนตรี ส่งผลอย่างชัดเจนต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศและมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น การขานรับที่เกิดขึ้นมุมมองของคนในภาคตลาดทุนต่างเชื่อว่าการออกมาประกาศต่อสาธารณะชนแม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจน 100% แต่เมื่อมีความคืบหน้า หรือมีแนวโน้มว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมากำลังจะเดินทางมาสู่ทางออกของปัญหาจึงส่งผลต่อตลาดทุนอย่างชัดเจนโดยตลอดทั้งวันดัชนีแกว่งตัวในระดับสูงตลอดทั้งวัน โดยมูลค่าการซื้อขายปรับตัวสูงเกิน 5 หมื่นล้านซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่ 5 มกราคม 2549ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขาย 5.14 หมื่นล้านบาท ไม่นับวันที่มีการซื้อขายหุ้นบมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น ของกลุ่มเทมาเสก ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายถึง 9.40 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาสูงสุดในระหว่างวันที่ระดับ 773.12 จุดเพิ่มขึ้น 27.79 จุดต่อมาได้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาทำให้ดัชนีอ่อนตัวลงและมาปิดที่ระดับ 768.07 จุด เพิ่มขึ้น 22.74 จุด หรือ 3.05% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 51,072.21 ล้านบาท

การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 14,962.88 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 956.68 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 14,006.20 ล้านบาท

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คำแถลงของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเว้นวรรคทางการเมือง โดยส่วนตัวยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด แต่เชื่อว่าการประกาศออกมาในครั้งนี้มีนัยะที่ดีต่อตลาดหุ้นจึงทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ความชัดเจนที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีความคลุมเครืออย่างต่อเนื่องเหมือนปัจจัยทางการเมืองที่ไม่มีความชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกกลุ่มรอคอยเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นนักลงทุนก็มีความมั่นใจมากขึ้นเช่นกัน

นายวิชัย พูลวรลักษณ์ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า แม้ว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีจะมีการแถลงการออกมาเกี่ยวกับการรับตำแหน่งแต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน 100% แต่ทั้งนี้การแถลงการซึ่งมีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ทุกช่องรวมถึงมีการถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์ต่างประเทศหลายช่องสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างประเทศได้ในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากนัก แต่ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขของเวลาที่ค่อนข้างชัดเจน ทั้งในเรื่องการเสนอนายกรัฐมนตรีหากสามารถเปิดประชุมสภาได้ ทำให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงจากการลงทุนได้ชัดเจนมากขึ้น

"มีการถ่ายทอดไปทั่วโลกสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ในความสนใจของการแถลงการแม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนมากนักแต่ก็มีเรื่องของระยะเวลาเข้ามาทำให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงได้มากขึ้น"นายวิชัยกล่าว

อย่างไรก็ตามการประเมินการลงทุนเพียงพิจารณาพื้นฐานการลงทุนอาจจะไม่เพียงพอต่อการลงทุน เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศซึ่งเป็นปัจจัยหลักยังไม่มีความชัดเจนทำให้นักลงทุนบางส่วนยังคงต้องชะลอการลงทุนต่อไป

บิ๊กกิมเอ็งเชื่อหุ้นขึ้นแค่ช่วงสั้น

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่าหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาประกาศเว้นวรรคทางการเมือง ส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นรับข่าวค่อนข้างมา โดยเชื่อว่าดัชนีฯ น่าจะตอบรับแค่ในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะปัจจัยทางการเมืองยังไม่จบและกลุ่มพันธมิตรก็ยังไม่ได้ระบุว่าจะยุติการชุมนุม

ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2549 มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีอยู่ที่ 780 -800 จุด หากสถานการณ์ทางการภายในประเทศเมืองคลี่คลายและมีทางออกที่ดี อย่างไรก็ตามบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) อาจจะมีการพิจารณาปรับเป้าดัชนีในปีนี้ใหม่ ซึ่งจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงยังไม่สามารถระบุได้ แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลายลงบ้าง แต่ก็ยังไม่มีการปรับประมาณการเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในปี 2549 เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองยังไม่ได้ ข้อสรุปยังถาวร จึงยังประมาณการมูลค่าการซื้อขายในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 1.65 หมื่นล้านบาท

ภัทรเชื่อดัชนีสิ้นปี880จุด

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัท ภัทร จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า คาดว่าดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ถึงระดับ 880 จุด เนื่องจากปัจจุบันอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) ของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ก่อนหน้านี้บล.ภัทร คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะเติบโตประมาณ 5-7% ซึ่งหากกำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ จะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 880 จุด ซึ่งจากการคาดการณ์คาดว่ากลุ่มที่จะมีผลการดำเนินการออกมาสูง คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์

สำหรับเงินลงทุนจากต่างชาติเชื่อว่ายังมีการไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากปัจจัยทางการเมืองผ่านพ้นไปได้ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ที่ 4.5% โดยภาคการลงทุนจะขยายตัวได้ 5-7% ในส่วนการส่งออกในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 18%

ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย คาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในสัปดาห์หน้าน่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) 14 วัน อีก 0.25% ซึ่งจะทำให้ปรับมาอยู่ที่ 4.75% ซึ่งน่าจะเป็นระดับที่สูงสุดแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องดังกล่าวคงจะต้องขึ้นอยู่กับนโยบายและการตัดสินใจของธปท.ว่า จะมีนโยบายในเรื่องดังกล่าวอย่างไร โดยการประชุมเรื่องกนง. ครั้งต่อไปคือวันที่ 10 มิถุนายนนี้ ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ คาดว่าจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 8% ซึ่งไม่ถือว่าเป็นระดับที่น่าเป็นห่วง

ลุ้นนายกฯคนใหม่สานต่องาน

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีเป็นเพราะรับข่าวการประกาศการเว้นวรรคทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนักลงทุนมีคลายความกังวลจากสถานการณ์ทางการเมือง โดยในส่วนของการซื้อของนักลงทุนต่างชาติมีแรงซื้อสลับการขายทำกำไร

ทั้งนี้ การคัดสรรเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะส่งผลต่อโครงการของภาครัฐต่างๆ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ ที่ต้องรอนโยบายจากภาครัฐและท่าทีของนายกรัฐมนตรีคนต่อไปว่ามีนโยบายในเรื่องดังกล่าวอย่างไร

อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีในวันที่ 7 เมษายนนี้ อาจจะมีการปรับตัวลดลงได้ เนื่องใกล้ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ จึงยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 760-763 จุด แนวต้าน 773-775 จุด

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของดัชนีวานนี้ซึ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 773.12 จุด เป็นการทำดัชนีสูงสุดของปี 2549 ครั้งใหม่ โดยปัจจัยหลักคือเรื่องการเว้นวรรคทางการเมืองของพ.ท.ต.ทักษิณ ซึ่งนักลงทุนเชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้กลุ่มหลักทรัพย์ที่นักลงทุนเข้ามาซื้อมากที่สุดกลุ่มสื่อสาร หลักทรัพย์ ธนาคาร วัสดุก่อสร้างและพลังงาน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องเพราะยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน

ทั้งเรื่อง การเลือกตั้งครั้งใหม่ การเปิดประชุมสภาการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และท่าทีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่าจะมีท่าทีที่ชัดเจนอย่างไร


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.