5ปีทักษิโณมิกส์พ่นพิษทำประชาระทม


ผู้จัดการรายวัน(31 มีนาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

นักวิชาการแฉ 5 ปี “ทักษิโณมิกส์”ทำประชาระทม สร้างความวิบัติให้ประเทศอีกนาน ขณะที่ ทีดีอาร์ไอ แนะปฏิรูปการเมืองต้องหาจุดลงตัวระหว่างการเมืองกับธุรกิจ อัด“ทักษิณ” ผ่านจุดความน่าเชื่อถือแล้ว เสนอตั้งคนกลางพระราชทานแก้รัฐธรรมนูญ อดีตคนเดือนตุลาฯ ฟันธงหลัง 2 เม.ย. ไม่เกิน 2 เดือน ทักษิณเผ่นแน่

วานนี้ (29 มีนาคม) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้มีการจัดราชดำเนินเสวนา เรื่อง วิกฤตการเมือง-วิกฤตเลือกตั้ง “Post Thaksin :ทางรอดประเทศไทย ? โดยมี นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) นายประสาร มฤคพิทักษ์ เครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นายสมบูรณ์ ศิริประชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นายสมบูรณ์ ศิริประชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรได้ทำการเสนอนโยบายในเรื่องเศรษฐกิจจนเกิดระบบทักษิโนมิกส์ขึ้น โดยระบบนี้แบ่งเป็นสองแกนหลักคือ 1.การมองไปข้างหน้า โดยเน้นเรืองกลยุทธ์ด้านการค้าแบบเสรี และ2.เน้นหนักในการพัฒนาชนบทที่ชนชั้นรากหญ้าจนเป็นที่มาของนโยบายประชานิยมเพื่อสร้างความจูงใจในเรื่องกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน

ทั้งนี้ นโยบายประชานิยมแบบทักษิณเน้นในเรื่องรายจ่ายมากกว่าการสร้างรายได้ ถึงแม้ประชานิยมสร้างความได้ผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างดียิ่ง แต่เรามีปัญหาความเหลื่อมล้ำมากที่สุด เพรากลุ่มที่รวยที่สุดกับกลุ่มที่จนที่สุดในประวัติศาสตร์มีประมาณ 9-13 เท่า ตัวเลขล่าสุดที่ดูจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2547 ตอนนี้ช่องว่างอยู่ที่ประมาณ 8 เท่า ในมาตรฐานของสากลไม่ควรจะต่างเกิน 4 เท่า

นายสมบูรณ์ กล่าวว่า นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าเศรษฐกิจที่โตขึ้นจะสามารถช่วยลดปัญหาคนยากจน โดยนโยบายประชานิยมได้ผลเป็นอย่างสำหรับกลุ่มคนที่จนที่สุดคือ มีตัวเลขถึง 6 ล้านคน และโดนใจกลุ่มคนที่ใกล้จะจนที่มีตัวเลขกว่า 20 ล้านคน ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นไปได้ว่าจะได้เสียงจากกลุ่มคนเหล่านี้ที่นิยมนโยบายประชานิยม โดยนโยบายที่จะมีผลต่อการเลือกตั้งมากคือ กองทุนหมู่บ้าน โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และการพักชำระหนี้เกษตรกร ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่เน้นรายจ่ายทั้งสิ้น อย่างการพักชำระหนี้ควรทำหรือไม่ โดยตามหลักเศรษฐศาสตร์ไม่ควรทำ ถ้าคุณใช้เงินสิ้นเปลืองวินัยการเงินก็จะเสียไป

ส่วนกรณีธนาคารคนจนเราไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ว่าจะมีปัญหาหรือไม่ ฉะนั้นในแง่การคลัง จึงเป็นการเน้นที่ช่วยคนจน โดยใช้วินัยการคลังที่อ่อนแอ เป็นนโยบายที่ต้องการเอาใจประชาชนรากหญ้ามากกว่าที่จะให้เขามีวินัย

“ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นนายกฯ แล้วนโยบายประชานิยมยังคงอยู่ทำไมนักเศรษฐศาสตร์จึงกังวลมาก เพราะเป็นลักษณะการคลังแบบกึ่งการคลังที่ก่อให้เกิดความไม่โปร่งใส เงินที่จะมาทำประชานิยมจะมาจากการทำงบกลางประจำปีที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของรัฐสภา ซึ่งถือว่าเป็นการทำงบประมาณที่ขัดหลักที่ดีของการจัดการงบประมาณแผ่นดิน ในทางกลับกันถ้าพ.ต.ท.ทักษิณไม่อยู่แล้วคนอื่นมาบริหารประเทศ ยังเชื่อว่าประชาชนก็ยังคงเรียกร้องให้มีนโยบายประชานิยมต่อไป เพราะสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณได้ทำไว้ถือเป็นมรดกที่เปลี่ยนกลับไม่ได้ เช่น โครงการ 30 บาท กองทุนหมู่บ้านจะยกเลิกก็ไม่ได้ ถ้ายกเลิกจะมีการประท้วงใหญ่ และจะต้องหาเหตุผลที่ดีมาตอบให้ได้ เมื่อมองมรดกในแง่ลบคงไม่มีทางแก้ไขได้ และเคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศอาเจนตินา และประเทศเม็กซิโก”นายสมบูรณ์ กล่าว

นายสมบูรณ์ กล่าวว่า แนวคิดการพัฒนาของทักษิณจะเป็นการสร้างเศรษฐกิจเสรีแบบผิด เช่น การทำเอฟทีเอกับประเทศสหรัฐอเมริการที่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นการเปิดประเทศและทำให้เราเสียเปรียบในหลายเรื่อง เช่น การลงทุนและภาคบริการ การทำเอฟทีเอเหมือนเป็นกับดัก และคุก Preferential Trade Arrangements (PTA) เพราะมีสัญญามาบีบบังคับ ถ้าจะยกเลิกก็ทำได้ยาก ทั้งยังมีการกีดกันทางการค้าและการบังคับการใช้ทรัพยากรภายในประเทศ หากยังดำเนินต่อไปจะส่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ Spaghetti Effect ที่ทำให้ระบบทุกระบบยุ่งเหยิงผลกระทบต่อรัฐบาลหน้านอนาคตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลทักษิณพบว่ามีรูปธรรมที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านๆ มา และนโยบายค่อนข้างจะกล้าหาญมาก ซึ่งกล่าวได้เลยว่าเป็นรูปธรรมมากกว่าที่จะเป็นนามธรรมในภาพกว้างๆ ประกอบนโยบายของรัฐบาลค่อนข้างมีประสิทธิผล เพราะมีการทำจริง จ่ายเงินลงไปจริง แต่ประสิทธิภาพต้องใส่เครื่องหมายคำถามตัวโตๆ เอาไว้ก่อน ปัจจุบันสิ่งที่เป็นห่วงมาก คือความแตกแยกของสังคม เพราะไม่ว่าในระยะสั้นใครจะเป็นรัฐบาลในสังคมจะมีการฝั่งรากลึกอยู่ ซึ่งจะทำให้การดำเนินนโยบายต่อไปของรัฐบาลต่อไปยากที่จะบริหารงาน

“หากรัฐบาลทักษิณได้บริหารประเทศต่อไป การบริหารนโยบายต่างๆ หลายเรื่องจะเป็นไปได้อย่างยากลำบาก เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะกระแสตอนนี้ของประชาชนต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณโดยสิ้นเชิง แต่ประเทศไทยจะมีปัญหาในระยะยาว ธุรกิจไฟฟ้าจะเอาเงินที่ไหนในการที่จะขยายกิจการ อย่างไรก็ดีถ้าสังเกตกระแสต่อต้านทักษิณจะแทรกไปด้วยการต่อต้าน Gobalization , Pivatizationและสร้างกระแส Nationalism (ชาตินิยม) คือไม่เอาต่างชาติก็เท่ากับว่าไม่เอาทุนต่างชาติ ซึ่งเราจะพัฒนาประเทศโดยทุนของเราเองไม่ได้เพราะเรามีทุนไม่พอ อย่าลืมว่าการเข้ามาของทุนจะเข้ามาพร้อกับเทคโนโลยีด้วยดังนั้นเมื่อไม่เอาทุนต่างชาติ เทคโนโลยีที่ใช้ก็คือภูมิปัญญาของประเทศเราเท่านั้น ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าดูถูกภูมิปัญญาของเรา และอย่างไรเสียมุมที่น่าเป็นห่วงคือที่สังคมต่อต้านคนๆ หนึ่งแล้วไปต่อต้านทุนนิยม โลกทั้งโลกมีอยู่ระบบเดียวยังไงเราก็ต้องเดินไปในระบบนี้” นายบรรยงกล่าว

นายบรรยง กล่าวว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การที่จะให้เศรษฐกิจเติบโต 6-8% คงหวังยาก เพราะนโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่สำคัญมาก หรือกระแสต่อต้าน Gobalization จะทำให้การลงทุนหยุดชะงัก ต่อให้เปลี่ยนรัฐบาลสำเร็จ รัฐบาลใหม่ก็จะต้องมาต่อสู้กับกระแสต่อต้านทุนนิยม อยากให้สังคมแยกแยะเรื่องต่างๆ ให้ถูกไม่มีคนที่ดีที่สุด และคนที่เลวที่สุด แต่กระแสที่เกิดขึ้นอยู่นั้นประเทศคงไม่ถอยหลังแต่ว่าเจริญช้า” นายบรรยงค์กล่าว

นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ไม่รู้ว่าโพสต์ทักษิณจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ส่วนตัวเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยไม่อาจจะอยู่ยืนยงได้ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้เช่นกัน เพราะประวัติศาสตร์เมืองไทยไม่มีพรรคการเมืองไหนที่อยู่ได้ตลอดไป และถึงแม้ประเทศไทยจะไม่มีพรรคไทยรักไทยประเทศก็สามารถที่อยู่ต่อไปได้ หรือเราจะมีพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่มีก็ไม่ได้ส่งผลผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่มีเรื่องที่ลึกกว่านั้นคือระบบประชานิยม และโดยส่วนตัวเชื่อว่าในที่สุดก็ไม่อยู่แบบยั่งยืนจากปัจจัยในเรื่องของการเงิน ซึ่งประชานิยมหลังจากระบอบทักษิณจะมีรูปร่างที่เปลี่ยนไปกล่าวคือจะมีการเงื่อนไขในการเข้าถึงประชานิยม

“เรามีคุณทักษิณมีพรรคไทยรักไทยประเทศไทยมีความเสียหายจริงหรือไม่ ผมคิดว่ามีความเสียหาย แต่ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณยังกลับมาเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง 2 เมษายน อำนาจการบริหารของ พ.ต.ท.ทักษิณจะหมดไป เพราะไม่มีใครยอมรับอำนาจบริหารประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ และจะมีต่อต้านตลอดเวลา และที่สำคัญคือ พ.ต.ท.ทักษิณเลยจุดที่จะพูดให้คนเชื่อถือแล้ว เพราะฉะนั้นตราบใดที่พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ก็มีความเสี่ยงอยู่มาก เพราะความเชื่อถือไม่มีแล้ว สังเกตจากการนำเสนอรัฐบาลแห่งชาติที่ไม่ได้รับการตอบรับจากภาคสังคม และถึงแม้พ.ต.ท.ทักษิณจะมีเจตนาที่ดีในทำนโยบายต่างๆเช่น เอฟทีเอด้วยใจจริงแต่พ.ต.ท.ทักษิณ นั่งอยู่หัวโต๊ะ ทุกคนก็ต้องเชื่อว่าต้องมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่เอื้อประโยชน์ให้คนโน้นคนนี้อยู่ดี” นายสมชัยกล่าว

ผู้อำนวยการวิจัยทีดีอาร์ไอ กล่าวอีกว่า ทางออกกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณยังอยู่เชื่อตอนนี้คงไม่มี เพราะคนไม่เชื่อแล้ว แต่พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะสร้างกลไก เช่น ตั้งคนกลางมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขั้นตอนนั้นสำคัญมากว่าจะเอาใครมาเป็นคนนำ กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญจะถูกจับตามองมีเครื่องหมายคำถามตลอดเวลา ต่อให้คนทำทำอย่างจริงใจ แต่เนื่องจากไม่เชื่อใจคนทำแล้ว ทุกอย่างก็ไปหมด แต่ถ้าใจกล้าพอคือให้หลายๆ คนช่วยกันคัดเลือก แล้วมีกระบวนการคัดเลือกจากภาคส่วนต่างๆ แต่วิธีที่ง่ายและดีที่สุดคือ ให้รัฐสภาเข้ามาหรือให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคัดเลือก เพราะจะเป็นการเริ่มต้นกระบวนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญที่มีคนเชื่อถือ อย่างน้อยคนมีความหวังมีแสงสว่างที่ปลายทาง เพราะคนสังคมยังเชื่อถือเรื่องการปฏิรูปการเมือง และที่สำคัญระหว่างการปฎิรูปการเมืองคือการปฏิรูปสื่อ เพื่อให้แน่ใจว่าการปิดกั้นข่าวสารจะไม่เกิดขึ้น

ขณะที่นายประสาร มฤคพิทักษ์ เครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า โดยส่วนตัวคิดว่าหลังเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.นี้พ.ต.ท.ทักษิณไม่น่าจะอยู่ได้เกิน 2 เดือน

“ไม่มีสมัยใดที่คุณทักษิณจะตกต่ำขนาดนี้ เพราะขนาดคนที่เคยรักก็ยังเกลียดคุณทักษิณ ตอนนี้ ผมเห็นภาพว่า 2 เมษา จะมีการโกงเลือกตั้งอย่างมหาศาล โดยใช้ตราประทับโกงการเลือกตั้ง และยังได้ยินมาว่ามีการพิมพ์บัตรเพิ่มและใช้เงินอย่างมหาศาล เพราะมีความต้องการให้ 2 เม.ย.มาฟอกขาวให้กับคุณทักษิณ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้บอกได้เลยว่าส.ส.ไม่ครบและเปิดประชุมสภาไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นการตะแบงลากตั้ง และการได้ 20% ในเขตภาคใต้ยากมาก เพราะเขาไม่เอาคุณทักษิณแล้วและการเลือกตั้งซ่อมภายใน 30 วันก็ไม่สามารถจะทำได้ในพื้นที่นี้”นายประสารกล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.