บลิสเทลเล็งรุกธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า


ผู้จัดการรายวัน(30 มีนาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

บลิส-เทลเตรียมแตกไลน์ธุรกิจเพิ่ม สนใจธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า หลังหันมาเปิดร้านขายอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไนกี้ ระบุเหตุกำไรสุทธิธุรกิจมือถือต่ำ ผู้บริหารยอมรับผลกระทบการเมืองฉุดยอดมือถือเดือนมี.ค.ลด30% ลุยเปิดสาขาเพิ่มเป็น 450 สาขาภายในสิ้นปี

นายอรรถวิชญ์ เอกธนิตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS เปิดเผยถึงแนวโน้มในการทำธุรกิจของบริษัทว่า ในอนาคตบริษัทเตรียมที่จะแตกไลน์ไปในธุรกิจอื่นๆมากขึ้น หลังจากที่เมื่อในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการตั้งบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ บริษัท บลิสสปอร์ต จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไนกี้ ด้วยทุนจดทะเบียนทั้งสิน 10 ล้านบาท โดยบริษัทบลิส-เทล ถือหุ้นในสัดส่วน 80%

ทั้งนี้เหตุผลที่บริษัทมีความสนใจในธุรกิจเนื่องจากบริษัทมีความสามารถในเรื่องการบริหารการจัดการเกี่ยกวับธุรกิจรายย่อย ทั้งในเรื่องระบบการจัดการ การอบรมพนักงานเป็นต้น

นอกจากนี้หากพิจารณาผลตอบแทนจากการดำเนินธุรกิจจะเห็นได้ว่าอัตรากำไรสุทธิในธุรกิจโทรศัพท์มือถือปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไนกี้ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25-50% ซึ่งคาดว่าจะเปิดสาขาแรกได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะมีการเปิดสาขาเพิ่มอย่างน้อย 1 สาขาทุกไตรมาสในช่วงเวลา 5 ปี โดยบริษัทคาดว่าจะคุ้มทุนในระยะเวลาประมาณ 5 ปี

"บริษัทเริ่มมองสินค้าแบรนด์อื่นบ้างแล้ว ซึ่งในอนาคตจะมีการพิจารณาเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจกับบริษัทอื่นๆด้วย บริษัทไม่ได้คาดหวังว่าธุรกิจดังกล่าวจะเติบโตในเร็ววันแต่ เรามองที่อัตรากำไรที่ค่อนข้างสูงซึ่งเป็นเรื่องที่น่าลงทุน"นายอรรถวิชญ์กล่าว

นอกจากนี้บริษัทมีความสนใจที่จะเป็นตัวแทนในการจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศจีน โดยอาจจะมีการลักษณะคล้ายกับการเปิดร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์กีฬาที่มีการเปิดบริษัทย่อยขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจ โดยเรื่องดังกล่าวจะต้องรอให้สถานการณ์การเมืองประเทศคลี่คลายก่อน

นายอรรถวิชญ์ กล่าวอีกว่า สถานการณ์การเมืองในประเทศเริ่มส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยรายได้จากการขายโทรศัพท์มือถือในช่วงเดือนมีนาคมลดลงจากช่วงเดือนกุมภาพันธ์ประมาณ 30% แต่บริษัทยังเชื่อว่าจะสามารถทำรายได้ตามเป้าหมายเดิมที่ 1.5 หมื่นล้านบาทได้ เนื่องจากในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้เข้ามาค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทประมาณ 86% มาจากยอดขายโทรศัพท์มือถือ ขณะที่บัตรเติมเงินและซิมการ์ดประมาณ 13.7%

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายโทรศัพท์มือถือในปีนี้ทั้งระบบจะอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านเครื่องโดยบริษัทจะมียอดขายประมาณ 1.8 ล้านเครื่องจากปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 1.2 ล้านเครื่อง ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดปรับขึ้นจาก 19%ในปีที่ผ่านมาเป็น 26-27%

อย่างไรก็ตามการดำเนินธุรกิจโทรศัพท์มือถือแม้ว่าจะมียอดขายสูงแต่อัตรากำไรสุทธิถือว่าอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีการแข่งขันทางด้านราคาขายสูงขึ้น โดยอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.16% ขณะที่ในปีนี้บริษัทคาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรสุทธิในระดับที่สูงขึ้น

สำหรับเรื่องการขยายสาขา บริษัทตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่มจาก 402 สาขาเป็น 450 สาขาภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.