"ไทยอีควิพเม้นท์ สงครามของผู้ถูกท้าทาย ซูเปอร์คอมพ์พันล้าน"

โดย ไพเราะ เลิศวิราม
นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2539)



กลับสู่หน้าหลัก

ไทยอีควิพเม้นต์เป็นใครมาจากไหน? ทำไมพวกเขาจึงกลายเป็นบริษัทที่สมิธ ธรรมสโรชยืนยันหนักหนาว่าจะต้องเป็นผู้ชนะให้ได้ ในสงครามการประมูลซูเปอร์คอมพ์มูลค่าพันล้านบาทที่วุ่นวาย ยืดเยื้อและอื้อฉาวที่สุดในรอบปี สมิทธลงทุนถึงขนาดตั้งกรรมการชุดของตนเองเพื่อดึงดันตามที่ตนต้องการ ท้าทายทั้งนักการเมืองและระบบราชการ ไทยอีควิพเม้นต์ไม่ธรรมดาจริง ๆ!

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า โครงการประมูลซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของกรมอุตุนิยมวิทยา มูลค่านับพันล้านบาทเป็นโครงการประมูลอื้อฉาวที่สุดในรอบปี

ทำไมอธิบดีกรมอุตุนิยมจึงกล้าเสี่ยงตั้งคณะทำงานขึ้นอีกชุด และพิจารณาให้บริษัทไทยอีควิพเม้นต์ รีเสิร์ช จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูล ทั้ง ๆ ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) สำนักนายกรัฐมนตรีได้คัดเลือกให้บริษัทท้อปกรุ๊ป ของค่ายเบียร์สิงห์เป็นผู้ชนะการประมูลไปแล้ว

ไทยอีควิพเม้นท์ รีเสิร์ช เป็นใครมาจากไหน

หลายคนรู้แต่เพียงว่าไทยอีควิพเม้นต์ รีเสิร์ช เป็นเจ้าประจำผูกขาดค้าขายอุปกรณ์ กรมอุตุฯ มานาน

กรมอุตุแทบจะเป็นอาณาจักรของไทยอีควิพเม้นท์ ที่ไม่มีใครแตะต้องก็ว่าได้ !

ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ปฐมบทของไทยอีควิพเม้นต์ รีเสิร์ชนั้นเริ่มต้นมาจากธุรกิจค้าขายวัสดุก่อสร้างเมื่อ 30 กว่าปีมาแล้ว ในชื่อบริษัทสีลมฮาร์ดแวร์ ก่อตั้งขึ้นโดย "พิชิต อัศวพลังพรหม" หรือ "เสี่ยบู๊" ที่คนในวงการเรียกขาน

จากธุรกิจค้าส่งวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีลูกค้าที่เป็นทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ รวมทั้งหน่วยงานราชการ เป็นจุดที่ทำให้สีลมฮาร์ดแวร์ได้พบตัวแทนขายสินค้าต่างประเทศ จนกลายเป็นโอกาสแตกไลน์ธุรกิจไปค้าขายอุปกรณ์ชนิดอื่น ๆ

"ช่วงที่เราค้าวัสดุก่อสร้าง ทำให้มีโอกาสติดต่อกับตัวแทนขายอุปกรณ์ในต่างประเทศซึ่งเขามีสินค้ามาเสนอตลอด ก็บังเอิญที่เราได้สินค้าเรดาร์ตรวจอากาศยี่ห้ออีอีซี ซึ่งมีชื่อเสียงค่อนข้างมากเข้ามาทำตลาด และเป็นช่วงเวลาเดียวกับกรมอุตุต้องการเปิดประมูลซื้ออุปกรณ์เรดาร์ตรวจอากาศแบบใหม่พอดี "ประพันธ์ อัศวพลังพรหม ประธานกรรมการบริษัทไทยอีควิพเม้นท์ รีเสิร์ช เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

ในการประมูลจัดซื้ออุปกรณ์เรดาร์ ตรวจอากาศแบบใหม่ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม สามารถแสดงผลเป็นภาพของกลุ่มเมฆ และฝน ซึ่งจะมาใช้แทนที่เรดาร์ตรวจอากาศรุ่นเดิมของกรมอุตุเมื่อ 15 ปีที่แล้ว จึงมีชื่อของไทยอีควิปเม้นท์ เทเลคอม บริษัทลูกของสีลมฮาร์ดแวร์ ติดกลุ่มเข้าร่วมประมูลด้วย

"ในช่วงที่เราเริ่มเข้าประมูล ก็มีหลายบริษัทที่เขาค้าขายอุปกรณ์กับกรมอุตุอยู่แล้ว เช่น ล็อกซเล่ย์ ยิบอินซอย และบริษัทเก่าแก่จากอังกฤษ เราไม่ได้เป็นรายแรกที่ค้าขายกับกรม ตอนนั้นกรมอุตุเขาใช้อุปกรณ์ยี่ห้อ เบนดิกส์ของอังกฤษ" ประพนธ์ย้อนอดีต

แม้จะเป็นหน้าใหม่ที่ต้องแข่งขันกับหน้าเก่า อย่างล็อกซเล่ย์ และยิบอินซอย ซึ่งล้วนแต่เป็นยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดงานประมูลค้าขายอุปกรณ์กับทางราชการมานานแต่ไทยอีควิพเม้นต์ เทเลคอมกลับเป็นผู้คว้าชัยชนะสามารถขายอุปกรณ์เรดาร์ตรวจอากาศมูลค่า 10 ล้านบาท

ผลจากชัยชนะในครั้งนั้น ซึ่งทำเงินไทยให้กับอีควิพเม้นต์ได้ไม่น้อย ทำให้พิชิต หรือ เสี่ยบู๊เริ่มหันมาจับธุรกิจค้าขายอุปกรณ์กับกรมอุตุฯ อย่างจริงจัง

ประจวบเหมาะกับในช่วงนั้น กรมอุตุมีนโยบายในการจัดซื้ออุปกรณ์ทันสมัยมาใช้งานเพิ่มขึ้น เนื่องจากองค์กรอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ (WMO: WORLD METEOROLOGY ORGANIZATION) ต้องการให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการพยากรณ์อากาศของแต่ละประเทศ ซึ่งไทยถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งประเทศสมาชิก ที่ต้องเป็น HUB REGIONAL ทำหน้าที่ป้อนข้อมูล พยากรณ์ อากาศในภาคพื้นแถบนี้ป้อนให้กับเครือข่ายของ WMO

แม้ว่าล็อกซเล่ย์ และยิบอินซอยจะเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง และยังมีประสบการณ์ค้าขายกับกรมอุตุฯ มาก่อน แต่กรมอุตุฯ ไม่ใช่ลูกค้ารายเดียว ยังมีหน่วยงานราชการอื่น ๆ อีกที่เป็นลูกค้าของบริษัททั้งสอง

ขณะที่กรมอุตุฯ แม้จะเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม แต่ก็เป็นหน่วยงานที่แทบจะไม่มีบทบาทอะไร เป็นแค่หน่วยงานให้บริการทางด้านพยากรณ์อากาศ ไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง นอกจากงบประมาณ ที่ใช้ในการจัดซื้ออุปกรณ์มาใช้ในการพยากรณ์อากาศซึ่งไม่ได้มากมายนัก กรมอุตุฯ จึงเป็นม้านอกสายตาที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายของบรรดาพ่อค้าอุปกรณ์ดังเช่นหน่วยงานราชการอื่น ๆ เท่าใดนัก

ผิดไปจากไทยอีควิพเม้นต์ เทเลคอม ที่มุ่งเน้นไปที่กรมอุตุฯ เพียงหน่วยงานเดียว เนื่องจากยังเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นธุรกิจและเป็นแค่บริษัทขนาดเล็ก จึงเป็นช่องทางอย่างหนึ่งทำให้ไทยอีควิพเม้นต์เริ่มเข้าไปสร้างสายสัมพันธ์กับกรมอุตุฯ ได้อย่างเหนียวแน่น

"พอหลังจากเราประมูลได้ครั้งแรก เราก็เริ่มเข้าไประมูลอีกดูว่าโครงการไหนที่เรามีอุปกรณ์พอจะเข้าได้เราก็เข้า ในช่วงนั้นไม่ค่อยมีใครสนใจกรมอุตุฯ เพราะงบประมาณน้อย" ประพันธ์เล่า

นับจากนั้นจนถึงปัจจุบันไทยอีควิพเม้นต์ เทเลคอม ทำธุรกิจค้าขายอุปกรณ์กับกรมอุตุนิยมวิทยา อันเป็นลูกค้าหลักมาตลอด 15 ปี โดยสินค้าหลักของที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ คือเรดาร์ตรวจอากาศซึ่งประพันธ์ไม่ยอมเปิดเผยว่าในแต่ละปีบริษัทมีรายได้เท่าใด บอกแต่เพียงว่ารายได้ของบริษัทจะขึ้นลงตามงบประมาณของกรมอุตุฯ

แต่จากสถิติผลงานการค้าขายอุปกรณ์ของไทยอีควิพเม้นต์ในกรมอุตุฯ ตั้งแต่ปี 2534-2538 ระบุว่าไทยอีควิพเม้นต์มีรายได้จากการขายอุปกรณ์เรดาร์ตรวจอากาศ และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และบางปีก็มีมากถึง 500 ล้านบาท (ดูตารางประกอบ)

ประพันธ์เล่าว่า ลูกค้าที่เป็นหน่วยงานราชการอื่น ๆ ก็มีอยู่บ้าง แต่มีน้อยรายที่ต้องการใช้อุปกรณ์ประเภทนี้ เช่น กรมการบินพาณิชย์ หรือการท่าอากาศยาน ซึ่งไทยอีควิพเม้นต์ขายอุปกรณ์เรดาร์ตรวจอากาศให้ ในช่วงที่มีการปรับปรุงท่าอากาศยานที่ภูเก็ต

การดำเนินงานของไทยอีควิพเม้นต์ พิชิตจะเป็นผู้ดูแลและบุกเบิกมาตลอด แต่มาช่วงปีหลัง ๆ เมื่ออายุมากขึ้นจึงเริ่มหันมาเน้นหนักเรื่องนโยบายและมอบหมายงานในบริษัทให้ลูกชาย 3 คนคือ ประจักษ์ ประพันธ์ และประดิษฐ์ ซึ่งจบทางสายวิศวกรรมมารับภาระต่อ

การบริหารงานในช่วงหลัง ๆ จึงตกอยู่ในรุ่นลูก ซึ่งจะแบ่งรับผิดชอบเป็นโครงการ ๆ ไปแล้วแต่ความถนัด ดังเช่นประพันธ์ลูกคนกลางหลังจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระดับปริญญาโท ทางด้านไฟแนนซ์ ประพันธ์บินกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัว และได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการประมูลซูปเปอร์คอมพ์

ส่วนสีลมฮาร์ดแวร์ยังคงทำธุรกิจค้าวัสดุก่อสรร้างเช่นเดิม แต่มอบหมายให้พนักงานอาวุโสเก่าแก่เป็นผู้ดูแล โดยมุ่งเน้นเฉพาะลูกค้าดั้งเดิมเท่านั้น

ปัจจุบัน สีลมฮาร์ดแวร์และไทยอีควิพเม้นต์ ขยับขยายสถานที่ตั้งสำนักงานจากถนนสีลมมาตั้งอยู่บนอาคารพาณิชย์ 4 คูหาบริเวณถนนสาธรมีพนักงานรวม 50 คน

ตลอดเวลาที่สนทนา ประพันธ์ออกตัวว่าไทยอีควิพเม้นต์เป็นเพียงธุรกิจครอบครัวเล็ก ๆ ไม่ได้มีบทบาทอะไรจึงไม่อยากเอยถึงเท่าใดนัก พร้อมกับย้ำตลอดเวลาว่าไม่ได้ผูกขาดค้าขายกับกรมอุตุฯ แต่เป็นเพราะการมีสินค้าที่ดีความเชื่อถือและสายสัมพันธ์ที่ดี ทำให้บริษัทค้าขายกับกรมอุตุจนทุกวันนี้

"เรามีสินค้าในธุรกิจนี้ คุณจะให้เราเอาเครื่องพยากรณ์อากาศไปขายกับการสื่อสารฯ หรือองค์การโทรศัพท์ฯ มันก็เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะเราทำธุรกิจนี้มาจนเชี่ยวชาญเรารู้ว่าควรคำนวณต้นทุนอย่างไรซึ่งเป็นเรื่องต้องอาศัยประสบการณ์ หากให้ผมไปขายกับหน่วยงานอื่นมันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ใครว่าเราผูกขาดผมว่าไม่ยุติธรรม" ประจักษ์ชี้แจง

อย่างที่รู้กันว่างานประมูลซื้อขายอุปกรณ์กับหน่วยงานราชการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการใหญ่เล็กขนาดไหน ไม่เพียงแต่ต้องมีสินค้าดีราคาเหมาะสมเท่านั้น แต่ "คอนเนคชั่น" ก็สำคัญไม่แพ้กันหรือบางครั้งก็สำคัญมากกว่าสองสิ่งแรกด้วยซ้ำ

ผู้เข้าประมูลเกือบทุกรายจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องหาเส้นสายไปไว้เป็นแรงหนุนไม่ว่าโครงการเล็กหรือใหญ่ ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะชนะคงไม่ใช่เรื่องง่าย

จากการสืบทราบไปยังหน่วยงานราชการบางแห่ง มีเอกชนบางรายถึงกับส่งนายหน้ามานั่งประจำกรมหรือกอง เพื่อต้อนรับเลี้ยงดูปูเลื่อข้าราชการในกรมกองเหล่านี้ เมื่อเวลาหน่วยงานนั้นมีการประกวดราคาจัดซื้ออุปกรณ์ครั้งใด ก็จะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทำให้สามารถเสนอราคาหรืออุปกรณ์ได้ตรงตามกับงบประมาณที่หน่วยงานตั้งไว้ และกลายเป็นผู้ชนะไปในที่สุด

ในการประมูลแต่ละครั้ง เอกชนผู้เข้าประมูล จึงต้องมีการจัดสรรงบประมาณในรูปของ "มาร์เก็ตติ้งฟรี" ตกประมาณ 10-20% ของวงเงินที่ใช้ในการประมูลแต่ละครั้ง เพื่อจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชา

ภาพสายสัมพันธ์ระหว่างเอกชนที่เป็นเจ้าประจำค้าขายอุปกรณ์กับหน่วยงานรัฐมายาวนาน ขึ้นอยู่กับว่าเอกชนรายนั้น ๆ จะจับสินค้าอะไรเข้ามาจำหน่าย เช่น กลุ่มยูคอมที่ค้าขายอุปกรณ์สื่อสาร ยี่ห้อโมโตโรล่ากับการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) หรือกลุ่มสามารถ ที่ขายอุปกรณ์ประเภทเสาอากาศกับกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นพิเศษ รวมทั้งสี่แสงการโยธาที่รับเหมาสร้างถนนให้กับกรมทางหลวงมาเป็นเวลายาวนาน

แน่นอนว่า การทำธุรกิจค้าขายอุปกรณ์ให้กับกรมอุตุฯ มาเป็นเวลานานเกือบ 20 ปี ความคุ้นเคยระหว่างไทยอีควิพเม้นต์และกรมอุตุย่อมต้องมีแน่ ตามประสาพ่อค้าและลูกค้าที่ติดต่อค้าขายกันมายาวนาน

ความสนิทสนมระหว่างพ่อค้าและลูกค้าของสองรายนี้ ไม่มีใครยืนยันว่าถึงขั้นไหน เพียงแต่มีการยืนยันว่า หากกรมอุตุฯ เปิดประมูลซื้อขายอุปกรณ์เรดาร์ตรวจอากาศเมื่อใด ไทยอีควิพเม้นต์จะได้รับชัยชนะไปเป็นส่วนใหญ่

ไทยอีควิพเม้นท์มีบริษัทในเครืออีก 3-4 แห่ง ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อเข้าประมูลงานกับกรมอุตุฯ โดยเฉพาะ คือ บริษัทสตาทิฟิกรีเสิร์ช, แอฟโก้ไทย, ไทยอีควิพเม้นต์รีเสิร์ช การประมูลงานของกรมอุตุฯในบางคราวจะเสนอพร้อมกันคราวละ 2 บริษัท ซึ่งเป็นวิธีที่ผู้เข้าประมูลงานราชการนิยมใช้เป็นส่วนใหญ่

ยกเว้นประมูลจัดซื้ออุปกรณ์ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรดาร์ตรวจอากาศ จะมีหน้าใหม่เข้ามาบ้างประปราย เช่น การประมูลจัดซื้ออุปกรณ์ดาวเทียม ในช่วงปี 2537 ซึ่งกลุ่มสามารถเป็นผู้ชนะ แต่ในระหว่างประมูลก็ถูกโจมตีตลอด กระทั่งผู้บริหารของกลุ่มสามารถ ยังต้องขอยอมยกธงขาวประกาศไม่เข้าประมูลกับกรมอุตุฯ อีก

"กรมอุตุฯ เขามีเจ้าประจำที่ผูกขาดอยู่แล้ว เราเข้าไปเราก็แพ้ การประมูลแต่ละครั้งต้องทุ่มเททั้งคนและเวลา สู้เราไปประมูลกับหน่วยงานอื่นดีกว่า ตอนนั้นที่กลุ่มสามารถชนะ เพราะเป็นระบบดาวเทียมเราชำนาญกว่า และก็ถูกกว่าด้วย" ผู้บริหารของกลุ่มสามารถกล่าว

เช่นเดียวกับกลุ่มยูคอมที่ชนะประมูลวิทยุสื่อสารในกรมอุตุ เพราะชำนาญในเรื่องอุปกรณ์เหล่านี้อยู่แล้ว แต่เมื่อถึงคราวประมูลอุปกรณ์เรดาร์ตรวจอากาศเมื่อใดจะต้องพ่ายแพ้ให้กับไทยอีควิพเม้นท์มาตลอด

แม้จะเป็นแค่บริษัทครอบครัว ว่ากันว่ากำลังภายในของไทยอีควิพเม้นต์ไม่เป็นรองใคร ตระกูลอัศวพลังพรหม ที่บังเอิญมีแซ่เบ๊เหมือนกับคนชื่อบรรหาร ศิลปอาชา หนำซ้ำยังเคยทำธุรกิจในธุรกิจเดียวกันมาก่อน

ในการปรับปรุงท่าอากาศยานจังหวัดภูเก็ต เพราะปัญหาเครื่องบินตก ตามนโยบายของบรรหาร

สมัยที่นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงมีชื่อของไทยอีควิพเม้นต์ติดกลุ่มในฐานะของผู้ขายอุปกรณ์เรดาร์ด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ในการประมูลจัดซื้อซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่าพันล้านบาทของกรมอุตุฯ

แม้กรมอุตุฯ จะเป็นม้านอกสายตาในธุรกิจประมูลเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ มานานแต่ถึงคราวเปิดประมูลจัดซื้อซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่าพันล้านบาท เพื่อใช้พยากรณ์อากาศล่วงหน้า 3 วัน กรมอุตุกลายเป็นสาวเนื้อหอมทันที

เพราะไม่เพียงแค่มูลค่าโครงการแต่เอกชนที่ประมูลได้จะมีโอกาสขายสินค้าและซอฟท์แวร์ที่เกี่ยวข้องให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีโครงการนำอุปกรณ์เหล่านี้ไปใช้งานด้วย

ปรากฏว่ามีผู้ยื่นซองประกวดราคาถึง 9 ราย คือ ชิโนบริต, สหวิริยาโอเอ, ไทยอีควิพเม้นต์ รีเสิร์ช, ไทยแมนเนจเม้น ไซน์ซ (ทีเอ็มเอส), เทคโนโลยีออปอเรชั่น,อินเตอร์เนชั่นแนลเอ็นจิเนียริ่ง (ไออีซี), กลุ่มยูคอม, ไทยแซทของล็อกเล่ย์ และ ที.เอส.เอ. อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งล้วนแต่เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการสื่อสารและคอมพิวเตอร์

แน่นอนว่าไทยอีควิพเม้นต์นั้นเจ้าขอวพื้นที่คงไม่ยอมปล่อยงานชิ้นสำคัญไปง่ายดาย ในขณะที่รายใหม่ล้วนแต่เป็นยักษ์ใหญ่คงไม่ยอมพลาดโอกาสงาม ๆ นี้

ทุกรายล้วนควานหาพันธมิตรหวังผนึกกำลังเต็มที่ สินค้าที่เสนอแบ่งออกเป็น 2 ค่ายหลัก คือ ญี่ปุ่น และสหรัฐ

ไทยอีควิพเม้นต์นั้น เตรียมตัวแต่วันหันไปคว้าสิทธิซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ยี่ห้อเครย์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากเข้ามาทำตลาด และยังมอบให้กับเนคเทคไว้ใช้งานฟรีอีก 1 เครื่อง เพื่อหวังสร้างเรคคอร์คให้กับบริษัท

งานประมูลครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา

ปัญหาของโครงการนี้เริ่มทันทีตั้งแต่ยังไม่เปิดซองประมูล เริ่มตั้งแต่ความไม่ลงรอยกันระหว่างพินิจ จารุสมบัติ และสมิทธ ธรรมสโรช จนเป็นเหตุให้เกิดมีแก้ไขสเปคเพื่อเปิดกว้างมากขึ้น รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ โดยมีวิสุทธิ์ มนตริวัต รองอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน

กรรมการมี ธีระ อภัยวงศ์ จากธนาคารกรุงเทพ ผ.ศ. บุญชัย โสวรรณวณิชกุล - ดร. จิตตภัทร เครือวรรณ - เลอสรร ธนสุกาญจน์ นักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนสมบัติ เจริญวงศ์ และดร. ดุษฎี ศุขวัฒน์ จากกรมอุตุนิยมฯ

จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นคนนอกกรมอุตุฯ มีเพียงกรรมการสองคนเท่านั้นที่มาจากกรมอุตุฯ

มีการโยงใยความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพินิจและกลุ่มยูคอม และสมิทธที่สนับสนุนไทยอีควิพเม้นต์ จนสั่งให้เลื่อนวันกำหนดรับซองทีโออาร์จากเดิม 25 เมษายน 2538 ไปอีก 1 เดือน มีการระบุว่าสาเหตุมาจากไทยอีควิพเม้นต์ยังจัดทำเอกสารเข้าประมูลไม่ทัน

ในขณะที่พินิจเร่งให้คณะกรรมการตัดสินโดยเร็ว ภายใน 2 เดือนหลังรับซองทีโออาร์ ก่อนรัฐบาลบรรหารจะเข้ามารับหน้าที่แทนรัฐบาลชวน

ตัวเก็งในเวลานั้น จึงตกเป็นของยูคอม และไทยอีควิพเม้นต์ไปโดยปริยายแต่การพิจารณาของคณะกรรมการยังไม่บรรลุผล จนกระทั่งเปลี่ยนรัฐบาล สมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้ริเริ่มโครงการกลับมารับตำแหน่ง รมช. คมนาคมอีกครั้ง

ระหว่าง 6 เดือนเต็ม ในการพิจารณาของคณะกรรมการ มีข่าวลือโจมตีกันเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการล้มประมูลและการนำเอาอิทธิพลทางการเมืองเข้าแทรกแซงจากกลุ่มผู้เข้าประมูล

โดยเฉพาะการมีจดหมายจากสถานฑูตสหรัฐอเมริกา พร้อมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ และจากบริษัทเครย์รีเสิร์ช รวม 3 ฉบับ ส่งถึงนายกบรรหาร เพื่อขอให้ความเป็นธรรมกับบริษัทเอกชนจากสหรัฐที่เข้าประมูลจัดหาคอมพิวเตอร์

เพราะหลังจากนั้นไม่นาน วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จ่าหัวเรื่อง ขอความสนับสนุนแก่บริษัทสหรัฐในการเข้าประมูลซุปเปอร์คอมพ์ พร้อมแนบสำเนาหนังสือจำนวน 3 ฉบับจากสหรัฐ ระบุว่าขอให้กระทรวงคมนาคมให้ความเป็นธรรมกับบริษัทเอกชนของสหรัฐที่เข้าประมูล

นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง ที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาถึงกับลงทุนส่งหนังสือมาถึงรัฐบาลไทย เพราะเท่ากับเป็นการกดดันให้กับรัฐบาลไทยให้การสนับสนุนสินค้าในประเทศตนอย่างเต็มที่

ยิ่งส่อเค้าให้รู้ว่าการประมูลครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะไทยอีควิพเม้นต์ถูกจับตามองว่าอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้เพราะหลังจากมีข่าววงในหลุดมาว่าไทยอีควิพเม้นต์ตกสเปค จดหมายทั้ง 3 ฉบับนี้ก็ส่งมาถึงนายกบรรหารทันที

มีการระบุว่าค่ามาร์เก็ตติ้งฟรีสำหรับงานประมูลชิ้นนี้พุ่งไปถึง 20-30%ของมูลค่าโครงการ กรรมการบางคนเล่าว่า มีเอกชนบางรายเสนอจ่ายเงินให้ถึง 40 ล้านบาทเพื่อแลกกับชัยชนะในครั้งนี้

กระทั่งสิ้นสุดการพิจารณา คณะกรรมการตัดสินให้บริษัทท้อปกรุ๊ป ม้ามืดจากค่ายเบียร์สิงห์ ซึ่งเสนอเครื่องไอบีเอ็มชนะไปด้วยคะแนนเทคนิคสูงสุด คือ 66 คะแนน จากคะแนนเต็ม 75 คะแนนและราคาต่ำสุดคือ 1,068,157 บาท

คณะกรรมการคนหนึ่งให้เหตุผลว่าเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็มที่ท้อปกรุ๊ปเสนอมานั้นทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด และดูจากระบบโดยรวมแล้วดีที่สุด

"เราจะเอาเครื่องที่มีเทคโนโลยีทันสมัยหรือจะเอาเครื่องที่มีชื่อเสียง แต่เป็นรุ่นเก่า ซึ่งเขาเปลี่ยนรุ่นไปแล้ว" กรรมการให้ความเห็น

สำหรับท็อปกรุ๊ปนนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาผู้เข้าประมูลเลย เป็นบริษัทส่วนตัวของสันติ ภิรมย์ภักดี ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เพื่อเข้าประมูลในงานนี้โดยเฉพาะและยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

ว่ากันว่า จุดที่โดดเด่นของบริษัทนี้คือ สายสัมพันธ์ระหว่างสันติ และมนตรี พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ที่มีสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นลูกพรรคและเป็น รมช. คมนาคม

เป็นธรรมดา เมื่อรู้ผลการตัดสินกลุ่มที่พลาดหวังมักจะออกมายื่นหนังสือประท้วงผลการตัดสิน แต่ในครั้งนี้มีถึง 3 รายที่ร่วมกันประท้วงระบุว่าท้อปกรุ๊ปเสนอผิดสเปค คือ กลุ่มยูคอม ไออีซี และทีเอ็มเอส ส่วนสหวิริยา นั้นใช้วิธีส่งหนังสือประท้วงไปที่กระทรวงคมนาคม

น่าแปลกคือไทยอีควิพเม้นต์เก็บตัวซุ่มเงียบไม่ประท้วง ทั้ง ๆ ที่ครั้งนี้อาจถือได้ว่าเป็นสงครามศักดิ์ศรี เนื่องจากกรมอุตุนั้นแทบจะเป็นอาณาจักรของไทยอีควิพเม้นต์มาตลอด แต่พอประมูลครั้งใหญ่ตนเองกลับพ่ายแพ้แก่ผู้ที่มาใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ

สาเหตุสำคัญอยู่ที่สมิทธ ธรรมสโรช อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา!

ทางด้านอธิบดีสมิทธทันทีที่รู้ผลกลับแต่งตั้งคณะทำงานของกรมอุตุฯ ขึ้นมาอีกชุด ซึ่งมีไกรสร พรสุธีรองอธิบดีกรมอุตุฯ เป็นประธาน และพิจารณาให้บริษัทไทยอีควิพเม้นต์รีเสิร์ช ซึ่งเสนอเครื่องเครย์ ที่ตกสเปคด้านเทคนิคไปตั้งแต่แรกเป็นผู้ชนะ

การกระทำในครั้งนี้เท่ากับปฏิเสธผลการตัดสินของคณะกรรมการชุดของวิสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง

ไป ๆ มา ๆ นอกจากจะเป็นสงครามระหว่างบริษัทเอกชนด้วยกันแล้ว ยังสงครามระหว่างนักการเมืองและข้าราชการที่ถือหางเอกชนคนละฝ่าย

หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมในเมื่ออธิบดีกรมอุตุฯ ไม่พอใจผลการตัดสินไม่เป็นธรรมจึงไม่เสนอเรื่องให้การสอบสวนหรือทบทวนใหม่ แต่กลับตั้งคณะทำงานขึ้นและชี้ขาดให้ไทยอีควิพเมนต์เป็นผู้ชนะ เหมือนกับว่ามีตัวเลือกอยู่ในใจอยู่แล้วเมื่อคณะกรรมการไม่ตัดสินตามที่ต้องการจึงไม่ยอมรับผล

อีกทั้งตลอดเวลาที่คณะกรรมการพิจารณา อธิบดีจะให้สัมภาษณ์ตลอดเวลาว่าจะไม่ยอมรับผิดชอบผลการพิจารณาที่เกิดขึ้น เพราะเป็นกรรมการคนนอกจะไปรู้เรื่องดีเท่ากับกรมอุตุฯ ที่เป็นคนใช้งานเองได้อย่างไร

"ผมปรึกษานักกฎหมายของกรมอุตุฯ แล้วว่า ผมมีอำนาจตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีกชุดเพื่อเปิดซองประมูลใหม่ได้ โดยใช้คนของกรมอุตุฯ เป็นหลัก เราเป็นคนใช้ใครจะมารู้ดีกว่าเรา" สมิทธกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

สาเหตุที่สมิทธเชื่อมั่นในไทยอีควิพเม้นท์มากนักนั้น สมิทธไม่ได้อธิบายในเชิงเทคนิค แต่เขาอธิบายว่า เชื่อมั่นในชื่อเสียงของเครย์ ใช้ 16 ประเทศ ขณะที่ไอบีเอ็มยังไม่มีใครใช้หรือส่วนใหญ่อยู่ในขั้นทดลองและอ้างตลอดเวลาว่า รองอธิบดีทั้งสี่คนรวมทั้งระดับรองผู้อำนวยการเห็นด้วยกับเขา

เขาอ้างด้วยว่า กรรมการชุดแรกไปรับเอกสารเพิ่มเติมอีกกว่า 100 หน้าจากท้อปกรุ๊ปหลังจากที่เปิดซองแล้ว ซึ่งไม่ยุติธรรมกับผู้ประมูลรายอื่น ทำให้เขาต้องตัดสินใจเช่นนี้

"ท้อปกรุ๊ป เป็นใครมีพนักงานอยู่ไม่กี่คน เกิดเครื่องเสียไม่มีคน เราก็แย่"

ปมปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้สมศักดิ์ เทพสุทิน รมช. กระทรวงคมนาคมผู้รับผิดชอบ แต่กลับส่งเรื่องทั้งหมดให้คณะกรรมการว่าด้วยระเบียบพัสดุ (กวพ.) สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชี้ขาดแทนว่าใครกันแน่ควรเป็นผู้ชนะ

กวพ. ให้ข้อสรุปมาว่า คณะกรรมการชุดแรกของวิสุทธิ์เป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายส่วนคณะทำงานของกรมอุตุฯ มีสิทธิ์แค่ให้ความเห็น แต่ไม่มีสิทธิ์ให้คะแนน เพราะผิดกฎระเบียบของ ซึ่งหากมองในมุมนี้ก็เท่ากับว่าท้อปกรุ๊ปจะต้องเป็นผู้ชนะ

หากแต่ รมช. สมศักดิ์ ส่งเรื่องกลับไปให้กรมอุตุฯ ไปพิจารณาสรุปผลอีกครั้งอาจเป็นไปได้ว่าต้องการให้กรมอุตุฯ หันไปทบทวนและยอมรับพิจารณาแต่โดยดี เพื่อไม่ให้มีปัญหาขึ้นในระหว่างนี้ เพราะขณะนี้ตัว รมช. สมศักดิ์เองกำลังถูกโจมตีจากการเปลี่ยนบอร์ดการท่าอากาศยานจึงไม่อยากผลีผลามทำอะไรลงไป

หรือเพื่อประวิงเวลาต่อไป

เพราะคำตอบของโจทย์มี 3 ข้อ คือ

1. ท้อปกรุ๊ปชนะตามผลการตัดสินของคณะกรรมการของวิสุทธิ์

2. ไทยอีควิพเม้นต์ รีเสิร์ชชนะตามความเห็นชอบของอธิบดี

3. ล้มประมูล และเปิดประมูลใหม่แบบเร่งด่วยเพื่อไม่ให้เสียเวลามาก ด้วยการจัดซื้อพิเศษ หรือ

CLOSE BID คือให้เอกชนที่ผ่านสเปค 4 ราย คือ ท้อปกรุ๊ป ทีเอ็มเอส ไออีซี และทีเอชเอ ยื่นเสนอราคาเข้ามาใหม่

หากมองในแง่หลักการแล้ว ท้อปกรุ๊ปคงเป็นผู้คว้างานไป เพราะผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการที่ถูกต้องเว้นเสียแต่ว่าจะมีกำลังภายในจากรัฐบาลมาให้เห็นจะ ๆ

สำหรับสมิทธแล้ว แม้เขาจะมีท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องนี้ แต่เขาก็ออกตัวกับ "ผู้จัดการ" ว่า ทุกอย่างแล้วแต่รัฐมนตรี หากเลือกแล้ว ตัวรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ

แต่คนทั่วไปก็ย่อมรู้ว่า เกมนี้ยังอีกยาว และสมิทธไม่ถอยแน่ ๆ เพราะถลำตัวมาถึงขั้นนี้แล้ว

แต่ที่แน่ ๆ ของงานประมูลในครั้งนี้คงต้องยอมรับว่า ไทยอีควิพเม้นต์ไม่ธรรมดาจริง ๆ !



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.