KCเจ้าตลาดโซนมีนบุรีชิงตัดหน้าคู่แข่ง ขอจัดสรรทาวน์เฮาส์2พันยูนิตก่อนผังเมืองห้าม


ผู้จัดการรายวัน(20 มีนาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ฯเจ้าตลาดโซนมีนบุรี บางกะปิ งัดจุดขายต้นทุนที่ดินต่ำ ผุดบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ระดับกลางสู้ศึก ระบุผังเมืองฉบับใหม่ไม่อนุญาตให้ก่อสร้างทาวน์เฮาส์ในบางพื้นแนวโน้มราคาพุ่ง พร้อมขออนุญาตจัดสรรล่วงหน้า 3 ปีกว่า 2,000 ยูนิต

ในภาวะที่ต้นทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนที่ดิน ค่าถมที่ดิน ค่าจ้างแรงงานก่อสร้างหรือผู้รับเหมา อัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ต้นทุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นรวมไปถึงราคาขาย แม้ว่าทางแก้คือการปรับขึ้นราคาไม่เหมาะสมกับต้นทุน แต่ในภาวะที่การแข่งขันสูง การปรับราคาขึ้นย่อมไม่ส่งผลดี หากคู่แข่งไม่ได้ปรับตาม

ดังนั้น การบริหารให้มีต้นทุนต่ำที่สุด ย่อมเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องทำให้ได้ ทั้งการบริหารภายในและการก่อสร้าง และสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ผู้ประกอบการจะได้เปรียบคู่แข่งคือ การมีต้นทุนที่ดินต่ำ เพราะต้นทุนที่ดินคิดเป็น 50-60% ของค่าการพัฒนา

นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคา 800,000-กว่า 10 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ในโซนตะวันออกของกรุงเทพ โดยเฉพาะย่านบางกะปิ มีนบุรี มากว่า 10 ปี ซึ่งราคาบ้านที่ขายหากเทียบกับคู่แข่งในย่านเดียวกันแล้วถือว่าถูกกว่า เพราะมีต้นทุนที่ดินที่ต่ำ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแลนด์แบงก์ ในย่าน บางกะปิ ,มีนบุรี ,บึงกลุ่ม ,คลองสามวา, บางนา เทพารักษ์ เกือบ 600 ไร่ สามารถรองรับการพัฒนาไปได้ถึง 5 ปี นอกจากนี้บริษัทยังได้ขออนุญาตจัดสรรโครงการทาวน์เฮาส์ในย่านดังกล่าวกว่า 2,000 ยูนิต รองรับการพัฒนาภายใน 3 ปี ซึ่งในย่านดังกล่าว พื้นที่บางส่วนในกฎหมายผังเมืองฉบับใหม่ จะไม่สามารถพัฒนาโครงการทาวน์ได้อีก ทำให้ผู้ประกอบการที่จะขออนุญาตจัดสรรหลังจากผังเมืองประกาศใช้ไม่สามารทำได้

"ราคาที่ดินแค่เจ้าของยากขายกับไม่ยากขายก็ต่างกันแล้ว 20% และยิ่งเป็นคนซื้อในพื้นที่ รู้ว่าที่ดินตรงไหนเป็นยังไง ของใคร เจ้าของยากขายหรือไม่ยิ่งทำให้ซื้อที่ดินได้ถูก ต่างจากผู้ประกอบการข้างนอกที่จะเข้ามาแข่งขันเค้าจะไม่รู้รายละเอียดมาก บางรายต้องอาศัยนายหน้าซึ่งมีต้นทนเพิ่มเข้าไปอีก" นายอภิสิทธิ์กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมแล้วบริษัทมีต้นทุนที่ดินเพียง 30-40% ของค่าพัฒนาเท่านั้น และในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรขั้นต้นที่ 38-40% ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขายอยู่ในอันดับ 7 ของอุตสาหกรรม โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะรักษาอัตราดังกล่าวเอาไว้ โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโต 15% ปีที่แล้วที่มีกำไร 1,076 ล้านบาท

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2549 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่าโครงการ รวม 4,000 ล้านบาท มีทั้งทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว ได้แก่ โครงการเค.ซี. คลัสเตอร์รามอินทรา ทาวน์เฮาส์ จำนวน 450 ยูนิต บนเนื้อที่ 35 ไร่ ราคาขายเฉลี่ย 9 แสนบาท มูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท, โครงการ เค.ซี.คลัสเตอร์ นิมิตรใหม่ ทาวน์เฮาส์ 460 ยูนิต บนเนื้อที่ 33 ไร่ ราคาเฉลี่ย 9 แสนบาท มูลค่าโครงการ 420 ไร่, โครงการเค.ซี.คลัสเตอร์ วงแหวนรามอินทรา และโครงการ เค.ซี.การ์เด้นโฮม อีก 1 โครงการ โดยเป็นทั้งโครงการเปิดเฟสต่อเนื่อง และโครงการใหม่

"ในปีนี้บริษัทตั้งงบประมาณซื้อที่ดินไว้ 300 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เป้าตายตัวเพราะหากมีที่ดินที่มีศักยภาพเข้ามาก็จะซื้อหากไม่มีก็ไม่ซื้อ" นายอภิสิทธิ์กล่าว

ก่อนหน้านี้ บริษัทเค.ซี.บริษัทได้เซ็นสัญญากับบริษัท ไทยจัดการลองสเตย์ จำกัด (TLM) เข้าพัฒนาโครงการบ้านพักอาศัยในลักษณะของที่พำนักระยะยาว หรือลองสเตย์ โดยตามแผนจะก่อสร้างทั่วประเทศ จำนวน 1 แสนยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่ปี 2549-2550 เป้าหมายเพื่อก่อสร้างที่พักอาศัยสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้เกษียณอายุที่ต้องการเข้ามาพักในประเทศไทย การก่อสร้างโครงการจะกระจายไปตามเมืองในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ 12 แห่งทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวในปัจจุบันได้มีหลายประเทศเข้ามาดูงานบางแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อตกลงใดๆ เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นนโยบายของรัฐบาล เมื่อเกิดปัญหาความไม่สงบทางการเมือง ทำให้ต่างชาติไม่มีความมั่นใจ จึงชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนก่อน


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.