เสริมสุขควัก690ล.เพิ่มแกร่งรับศึกหนักชู3ยุทธศาสตร์รุก


ผู้จัดการรายวัน(15 มีนาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

“เสริมสุข” ชู 3 ยุทธศาสตร์ฝ่ายุคการเมืองอึมครึม-ต้นทุนการผลิตเพิ่ม ดันธุรกิจ 3 ขา น้ำอัดลม - แบรนด์เครื่องดื่มใต้ร่มเงาเสริมสุข – ผู้จัดจำหน่ายโตเข้าเป้า 6% เดินเกมลดต้นทุนพุ่ง ควัก 690 ล้านบาท ลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิต ขยายแวร์เฮ้าส์ เพิ่มประสิทธิภาพหน่วยรถกระจายสินค้า งัดก๊าซมีเทนใช้ทดแทน ปลื้มปี 2548 กวาดรายได้ 16,034 ล้านบาท โต 8% เกินเป้า

นายสมชาย บุลสุข ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามากระทบธุรกิจไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์การเมืองที่ยากต่อการคาดเดาว่า จะเป็นไปในทิศทางใด พร้อมกับการเผชิญกับภาวะต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำตาลปรับขึ้น 3 บาทต่อกิโลกรัม ค่าน้ำมัน ค่าแรงงานขั้นต่ำ ค่าไฟ ค่าวัสดุจากพลาสติก แนวทางการดำเนินธุรกิจของเสริมสุขเพื่อการเติบโตปีนี้ของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่มอัดลม,กลุ่มเครื่องดื่มไม่อัดลมภายใต้แบรนด์ของเสริมสุขเอง และการเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่ม บริษัทจะชู 3 ยุทธศาสตร์หลัก ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์แรก คงความเป็นผู้นำในตลาดน้ำอัดลม( Best Bottler) โดยเน้นผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้นภายใต้การร่วมมือกับเป๊ปซี่ เพื่อขยายฐานผลิตภัณฑ์ให้ครบวงจร

อีกทั้งยังสร้างสรรค์แนวทางการขายใหม่ Wholesaler Pre-Sell ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยการส่งพนักงานขายล่วงหน้าไปก่อนหน่วยรถ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 1,400 คัน เพื่อแนะนำสินค้าและความแม่นยำในการจัดส่งสินค้า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเน้นสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย เพื่อการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ตามความต้องการของลูกค้า รวมทั้งวางแผนการจัดการการขนส่ง ไปยังตัวแทนจำหน่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อให้กลุ่มน้ำอัดลม ประกอบด้วย เป็ปซี่ และมิรินด้า ก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลม โดยคอปอร์เรต แชร์ เกิน 50% จากปัจจุบันเป๊ปซี่ มีคอปอร์เรต แชร์ 48.4% ส่วนโค้กเป็นผู้นำครองมี 48.9%
ยุทธศาสตร์ที่สอง เสริมความแกร่งให้กับแบรนด์ของเสริมสุข (Serm Suk’s Brand) โดยใช้ศักยภาพและความชำนาญในธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพภายใต้แบรนด์ของเสริมสุขเอง นำร่องด้วยน้ำดื่มคริสตัล โดยวางเป้าหมายให้คริสตัลเป็นน้ำดื่มที่ก้าวสู่การเป็นแบรนด์ในชั้นนำในตลาดน้ำดื่มไทย จากในปีที่ผ่านมาคริสตัลมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 30% ส่งผลให้ปัจจุบันมีส่วนแบ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 คือ 15% จากเมื่อหลายปีที่ผ่านมาคริสตัลมีส่วนแบ่งเป็นอันดับสามไล่เลี่ยกับแบรนด์อื่นๆ อาทิ ไทยน้ำทิพย์ เนสท์เล่ ช้าง ราว 10% ส่วนผู้นำตลาดเป็นน้ำดื่มสิงห์มีส่วนแบ่ง 20%

ยุทธศาสตร์ที่สาม ก้าวสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญการจัดจำหน่าย (Super Distributor) ด้วยการใช้เครือข่าย ที่แข็งแกร่งกว่า 2 แสนร้านค้า พร้อมกับระบบลอจิสติกส์ ซึ่งมีหน่วยรถ 1,400 คัน แวร์เฮ้าส์ 46 สาขา สำนักงาน 50 แห่งทั่วประเทศ และทีมขายจำนวนมาก จึงมีความพร้อมที่จะเป็นผู้จัดจำหน่ายแบรนด์ที่มีศักยภาพอื่นๆ จากปัจจุบัน เสริมสุขเป็นผู้จัดจำหน่ายให้กับ ชาเขียวโออิชิ คาราบาวแดง ซึ่งสัดส่วนรายได้ที่มาจากเครื่องดื่มไม่อัดลมในส่วนนี้เพียง 15% ขณะที่รายได้หลักยังจากเครื่องดื่มน้ำอัดลมถึง 85% และในอนาคตได้วางเป้าหมายสัดส่วนรายได้เครื่องดื่มไม่อัดลมจะเพิ่มเป็น 30% ส่วนน้ำอัดลมเหลือเป็น 70%

ควัก 690ล.ลงทุนเพื่ออนาคต

นายสมชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ทั้งสามยุทธศาสตร์ผลักดันธุรกิจให้มีอัตราการเติบโต ดังนั้นปีนี้เสริมสุขทุ่มงบลงทุน 690 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต 120 ล้านบาท ลงทุน 200 ล้านบาทในโครงการขยายและพัฒนาแวร์เฮ้าส์เพิ่มอีก 2 แห่ง เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งไม่ให้หน่วยรถต้องวิ่งรถกระจายสินค้าไกลเกินไป นอกจากนี้ยังได้ทุ่มงบอีก 220 ล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพหน่วยรถกระจายสินค้า โดยเพิ่มรถจาก 4 กระบะ เป็น 6 กระบะ เพื่อบรรทุกสินค้าได้มากขึ้นจาก 240 ลัง เป็น 301 ลัง และอีก 150 ล้านบาทลงทุนโครงการพัฒนาปรับปรุงระบบสารสนเทศ และโครงการล่าสุดหันมาใช้พลังงานทดแทน นำก๊าซมีเทนที่ได้จากบ่อบำบัดน้ำเสียทดแทนน้ำมันเตา ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าวทั้งหมด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและการจัดการเพื่อรองรับกับผลิตภัณฑ์ใหม่ และลดต้นทุนต่างๆที่ปรับเพิ่มขึ้น

สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 6% จากในปี 2548 มีรายได้ 16,034 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2547 มีรายได้ 14,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.84% โดยเป็นการเติบโตเกินเป้าที่บริษัทตั้งเอาไว้ว่าจะโต 6% ซึ่งปีที่ผ่านมากลุ่มน้ำอัดลมยอดขายเติบโต 7% โดยส่วนแบ่งเป๊ปซี่เพิ่มขึ้นจาก 61.5% เป็น 63.5% น้ำดื่มคริสตัลยอดขายโต 40% ส่วนรายได้จากการจัดจำหน่ายคาราบาวแดงโต 10% ขณะที่กำไรสุทธิปีที่ผ่านมา511 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2547 กำไรสุทธิ 534 ล้านบาท ลดลง 4.31% ทั้งนี้เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.