แม่ทัพใหม่แอลจีรุกหนักต้องโต70% ชูไทยต้นแบบธุรกิจ


ผู้จัดการรายวัน(10 มีนาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

แม่ทัพใหม่แอลจีไทยรับบัญชาจากบริษัทแม่ ตั้งเป้าดันแอลจีติดแบรนด์ 1 ใน 3 ของโลกภายในปี 2553 พร้อมแผนผลักดันไทยเป็นตลาดต้นแบบของเอเชียแปซิฟิกในการทำตลาด แม้รายได้อยู่อันดับสองรองจากอินโดนีเซีย แต่เพราะความเข้มแข็งและการแข่งขันที่รุนแรงของไทย ตั้งเป้ารา

แม่ทัพใหม่แอลจีไทยรับบัญชาจากบริษัทแม่ ตั้งเป้าดันแอลจีติดแบรนด์ 1 ใน 3 ของโลกภายในปี 2553 พร้อมแผนผลักดันไทยเป็นตลาดต้นแบบของเอเชียแปซิฟิกในการทำตลาด แม้รายได้อยู่อันดับสองรองจากอินโดนีเซีย แต่เพราะความเข้มแข็งและการแข่งขันที่รุนแรงของไทย ตั้งเป้ารายได้โตปีนี้ 70% พร้อมอัดงบตลาด 1,000 ล้านบาทลุย เตรียมทุ่มทุนอีก 300 ล้านบาทดันไทยเป็นฐานผลิตหลักอีก 2 กลุ่มคือ เครื่องซักผ้าฝาหน้าและแอร์เชิงพาณิชย์

นายนัก กิล ซอง ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอคนใหม่ของ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯแม่ที่ประเทศเกาหลีมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ผลิตภัณฑ์แอลจีขึ้นเป็นแบรนด์ 1 ใน 3 ของโลกภายในปี 2553 และยกระดับแบรนด์รวมทั้งสินค้าสู่ระดับพรีเมี่ยมด้วย ขณะเดียวกันก็ยังมีนโยบายที่จะผลักดันให้ไทยเป็นประเทศแม่แบบในการทำตลาดของแอลจีหรือ LG Prototype ของประเทศในตลาดเอเชียแปซิฟิก

เนื่องจากในตลาดประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่สูงและรุนแรงมากในทุกหมวดผลิตภัณฑ์ อีกทั้งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันทางด้านราคาอย่างรุนแรงด้วย โดยมีรูปแบบการทำตลาดที่หลากหลายทั้งการส่งเสริมการขายและอีเวนท์ ซึ่งหากแบรนด์ใดก็ตามหรือแม้กระทั่งแบรนด์แอลจีเองที่สามารถจะยืนหยัดอยู่ในตลาดไทยได้แล้วหมายความว่าการนำเอารูปแบบการทำตลาดในไทยไปประยุกต์ใช้กับประเทศอื่นในเอเชียแปซิฟิคนี้ได้ไม่ยาก

ขณะเดียวกันปัจจุบันนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายแบรนด์รวมไปถึงสินค้าอื่นๆก็มีการตั้งไทยเป็นฐานการตลาดและการผลิตที่สำคัญหลายบริษัทแล้วด้วย ซึ่งแอลจีเองก็อยู่ระหว่างการดำเนินการเช่นกัน

ในเอเชียแปซิฟิกนี้ ตลาดประเทศไทยถือได้ว่าทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับที่สองคือ ประมาณ 8,500 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้วเฉพาะตลาดในประเทศไม่รวมส่งออกและยกเว้นกลุ่มสินค้าไอทีกับมือถือ แต่ถ้ารวมกลุ่มไอทีและมือถือจะอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท ขณะที่ประเทศอินโดนีเซียนั้นเป็นประเทศที่รายได้สูงสุด เนื่องจากมีประชากรมากกว่าไทย แต่ทั้งนี้แอลจีไทยตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 70% เพื่อที่จะให้เป็นไปตามนโยบายให้ได้ ซึ่งถือว่าสูงกว่าตลาดเฉลี่ยโดยรวมด้วยซ้ำ

สำหรับตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้คาดว่าจะโตแค่ 10% โดยกลุ่มเอชเอคาดว่าจะโต 40% กลุ่มเครื่องซักผ้าจะโต 25% มือถือจะโต 10% เป็นต้น

ทั้งนี้แผนการดำเนินงานในปีนี้จะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท ในการเตรียมตั้งไลน์การผลิตเพิ่มขึ้นคือ เครื่องซักผ้าฝาหน้า ประมาณ 40 ล้านบาท และไลน์ผลิตแอร์เชิงพาณิชย์ ลงทุนกว่า 260 ล้านบาท เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกในเอเชียและป้อนตลาดในไทยด้วย จากเดิมที่ฐานผลิตเครื่องซักผ้าฝาหน้าหลักจะอยู่ที่จีนกับเกาหลี จากเดิมที่ไทยเป็นฐานการผลิตทางด้าน ทีวีทุกประเภท เครื่องซักผ้าฝาบน แอร์ เครื่องดูดฝุ่น คอมเพรสเซอร์ที่ใช้กับแอร์และตู้เย็น ซึ่งโรงงานตั้งอยู่ที่ระยอง

สำหรับงบประมาณที่จะใช้ในการทำตลาดปีนี้ตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ใช้ประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งจะให้ความสำคัญระหว่างบีโลว์เดอะไลน์กับอะโบฟเดอะไลน์เท่ากัน โดยจากงบก้อนนี้จะเน้นหนักในการใช้สร้างแบรนด์มากกว่า 300 ล้านบาท โดยคอนเซ็ปต์ที่ใช้ในการสร้างแบรนด์ คือ "I LOVE LG"

แนวทางการตลาดปีนี้จะยึดหลักการ บลูโอเชียน หรือ Blue Ocean ตามบริษัทแม่ คือ เน้นการพัฒนาสินค้าด้วยเทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อก้าวไปสู่ตลาดที่มีการแข่งขันน้อยหรือไม่มีการแข่งขัน เพื่อสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ แตกต่างจากตลาดเรด โอเชียน หรือ Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูงและผู้ประกอบการมักจะเจ็บตัวจากการขาดทุนเพราะการแข่งขันตัดราคา ซึ่งแอลจีตั้งงบประมาณการพัฒนาและวิจัยในไทยปีนี้ไว้ที่ 800 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้ว 40%

"การทำกลยุทธ์แบบเรดโอเชียนจะเป็นหนทางที่ทำให้เราสามารถก้าวขึ้นสู่สินค้าระดับพรีเมี่ยมและขึ้นสู่อันดับผู้นำตลาดได้ด้วย เพราะจะไม่ใช่เป็นการแข่งด้านราคา แต่จะเป็นการสร้างแบรนด์เน้นเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์และคุณค่าที่สร้างเข้าไปในตัวสินค้า ซึ่งสินค้าพรีเมี่ยมของเรานั้นก็มีทั้งสินค้าใหม่ที่ไม่เคยมีในท้องตลาดเลยกับสินค้าที่มีในท้องตลาดยู่แล้วแต่จะสร้างแวลูแอดเพิ่มเข้าไป"

ปัจจุบันสินค้าของแอลจีที่สามารถก้าวขึ้นสู่เบอร์หนึ่งหรือผู้นำตลาดได้แล้วในไทย เช่น เครื่องซักผ้า เตาไมโครเวฟ ทีวีพลาสม่า จอมอนิเตอร์ ส่วนที่ติดอันดับ 1 ใน 3 เช่น แอร์ เป็นต้น นอกจากนั้นสินค้าที่เป็นพรีเมี่ยมซึ่งปัจจุบันมีกว่า 10 รายการเช่น ทีวีพลาสม่า ซูเปอร์สลิม เอ็นเคเอส ตู้เย็นไซด์บายไซด์ เครื่องซักผ้าฝาหน้า โซล่าร์โดม เครื่องดูดฝุ่นไฮเอนด์ ซึ่งสัดส่วนรายได้จากสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมปีที่แล้วมีประมาณ 2% จากยอดขายรวม ตั้งเป้าหมายปีนี้เพิ่มเป็น 30% และในปี 2553 สัดส่วนรายได้จากสินค้าพรีเมี่ยมจะเป็น 40% ขณะที่สัดส่วนยอดขายของบริษัทฯนั้นจะมาจาก ทีวีเป็นหลักมากกว่า 50% จากรายได้รวม รองลงมาคือแอร์ และเครื่องซักผ้า

สำหรับแคมเปญการสร้างแบรนด์ในขณะนี้ทางบริษัทแม่ที่เกาหลีได้นำเอาดาราดังคือ "ลี ยอง เอ" จากเรื่อง แดจังกึม มาเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ให้กับสินค้าทุกตัว ซึ่งจะใช้เฉพาะในภาคพื้นนี้ ล่าสุดเตรียมที่จะดึงเอา ศิลปินวง ดองบังชินกิ ซึ่งโด่งดังของเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโทรศัพท์มือถือด้วย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.