แลนด์แอนด์เฮ้าส์ยอมประกาศขาดทุนในครึ่งปีแรกถึง 1,800 ล้านบาท ด้วยเหตุผลทางการเงินที่น่าสนใจ
เป็นเกมการเงินที่ล้ำลึกจนค่ายอื่นเดินตามไม่ทัน ฐานเดิมของบริษัทที่แข็งแกร่งทำให้อนันต์
อัศวโภคิน สามารถยืนหยัดและนำพาบริษัทฟันฝ่าไปได้อีกครั้ง ในขณะที่ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น
ผู้ประกอบการต่างเจอกับปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงจนมองไม่เห็นทางออก และหลายรายกำลังเริ่มนับถอยหลัง…
"ปีที่แล้วธุรกิจเรียลเอสเตทอาการหนัก แต่ปีนี้มันอยู่ห้องไอ.ซี.ยู."
อนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการผู้จัดการบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
เคยกล่าวประโยคนี้ไว้ตั้งแต่กลางปี 2539 แน่ล่ะ..ในเวลานั้นหลายคน ๆ คนอาจจะยังนึกภาพได้ไม่ชัดเจนนัก
จน ณ วันนี้ ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปี 2540 บริษัททางด้านเรียลเอสเตทเล็ก
ๆ หลายบริษัทฌาปนกิจตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว หลายบริษัทกำลังเผาหลอก รอเวลาเผาจริงปีหน้า
และอีกหลาย ๆ บริษัทกำลังดิ้นพล่าน!
แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่มีการเตรียมเนื้อเตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้ามานานแล้วก็ตาม
ก็ยังถูกพายุเศรษฐกิจกระหน่ำซัดจนเซไปเหมือนกัน ในครึ่งแรกของปี 2540 แลนด์แอนด์เฮ้าส์
ปรากฏผลขาดทุนครั้งใหญ่ถึง 1,810.85 ล้านบาท!!! นับเป็นการขาดทุนครั้งแรกในรอบ
8 ปี ในขณะที่ผลดำเนินงานในหลายปีที่ผ่านมา แลนด์แอนด์เฮ้าส์มีผลกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่องปีละ
1,500-2,200 ล้านบาท (ดูตารางผลประกอบการ 5 ปีประกอบ)
สาเหตุของการขาดทุนที่สำคัญมี 2 เรื่อง คือ 1. ผลจากการที่รัฐบาลปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมาเป็นระบบลอยตัวเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม
ส่งผลให้แลนด์ฯ มีภาระหนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 40% และ 2. ขาดทุนจากการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม
ในเรื่องของค่าเงินบาท ภายใน 2 ปีนี้แลนด์ฯ จะถึงกำหนดชำระหนี้ก้อนโตในเวลาไล่เลี่ยกัน
โดยเมื่อต้นปีได้ชำระคืนเงินกู้ไปแล้ว 1,000 ล้านบาทและในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจะต้องชำระคืนเงินกู้ประมาณ
1,500 ล้านบาท และในปีนี้จะถึงกำหนดชำระหนี้ต่างประเทศอีกประมาณ 2,400 ล้านบาท
(คิดจากอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ)
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ได้ตัดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนไปในไตรมาส 2 จำนวน 883.76
ล้านบาท โดยคิดจากค่าเงินบาทที่ 29 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
อดิศร ธนนันท์นราพูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ อธิบายถึงวิธีคิดอย่างแยบยลของการตัดสินใจบันทึกการขาดทุนครั้งใหญ่นี้ไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว
เป็นธรรมดาของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มักจะพยายามโชว์ผลกำไรที่ขยายตัวกันทุกไตรมาส
แม้ผลกำไรที่มาก ๆ เหล่านั้นจะหมายถึงภาษีที่มากตามไปด้วยก็ไม่หวั่น เพราะเหตุผลสำคัญคือผลประกอบการที่ดีทำให้ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
หากดูจากงบกำไรขาดทุนของแลนด์แอนด์เฮ้าส์แล้ว หลายปีที่ผ่านมาบริษัทนับเป็นลูกค้าชั้นดีของกรมสรรพากรมาโดยตลอด
เพราะจ่ายภาษีกันปีละ 600-700 ล้านบาท ปีใดที่ผลประกอบการดูจะตกต่ำแลนด์แอนด์เฮ้าส์ก็สู้อุตส่าห์ขายเงินลงทุนสร้างรายได้เข้าบริษัทมิได้ขาด
โดยปี 2538 และ 2539 มีกำไรจากการขายเงินลงทุนจำนวน 617.70 ล้านบาท และ 756.49
ล้านบาทตามลำดับ
แต่สำหรับปีนี้แลนด์แอนด์เฮ้าส์เลือกที่จะทำให้บริษัทขาดทุนทางบัญชีเพื่อประหยัดภาษีครึ่งปีประมาณ
140 ล้านบาทไว้
ทั้งนี้ อดิศร มือการเงินชั้นนำแห่งยุคเปิดใจกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ว่า "ในยามนี้เราต้องการรักษาสภาพคล่องของบริษัท ก็เลยมาหาทางประหยัดภาษี
ด้วยการรับรู้ผลขาดทุนจากพอร์ตลงทุน ดีกว่าให้ไปหมกอยู่ที่ส่วนของผู้ถือหุ้น
ถ้ารับรู้ผลขาดทุนซะก็ไม่ต้องเสียภาษี เราก็เลยทำในไตรมาส 2 ถ้าไปทำในไตรมาส
3 จะไม่ช่วยเรื่องภาษีกลางปี เพราะบริษัทจดทะเบียนต้องคำนวณภาษีปีละ 2 ครั้ง
ฉะนั้นถ้าไม่รับรู้ผลขาดทุนในไตรมาส 2 เราจะมีกำไร และต้องเสียภาษีกลางปี"
อดิศรใช้วิธีขายเงินลงทุนทั้งหมดในพอร์ตออกไปแล้วซื้อคืนทันที แลนด์แอนด์เฮ้าส์เสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ไปนิดหน่อยเพื่อการนี้
แต่เมื่อเทียบกับการประหยัดภาษีครึ่งปีประมาณ 140 ล้านบาทก็นับว่าคุ้มค่า
จากงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2540 พบว่าแลนด์แอนด์เฮ้าส์มีกำไรก่อนหักภาษีประมาณ
535 ล้านบาท และจะต้องชำระภาษีเงินได้ประมาณ 116 ล้านบาท หากในไตรมาส 2 บริษัทไม่รับรู้ผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุน
1,134.38 ล้านบาท บริษัทก็จะมีผลกำไรก่อนหักภาษีประมาณ 88.6 ล้านบาท คิดเป็นภาษีที่ต้องจ่ายประมาณ
25 ล้านบาท (พิจารณางบการเงินประกอบ)
เมื่อไตรมาส 2 ปี 2539 แลนด์ฯ มีกำไรก่อนหักภาษี 837 ล้านบาท หากปีถัดมาหดเหลือเพียง
88.6 ล้านบาท ย่อมเป็นตัวเลขที่น่าตกใจไม่น้อยเพราะนั่นหมายถึงผลประกอบการเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนลดลงถึง
90% การทำกำไรจากการขายเงินลงทุนอย่างปีก่อนๆ ก็เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ไม่ได้คล่องแล้ว
เนื่องจากภาวะฝืดเคืองทางเศรษฐกิจเป็นเหตุ ทางออกที่หรูที่สุดของบริษัทยักษ์ใหญ่วงการอสังหาฯ
ยามนี้จึงยอมขาดทุนดีกว่า พร้อมกับเหตุผลที่ผู้ถือหุ้นทุกคนยอมรับได้ด้วยความชื่นชม
ส่วนในเรื่องการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้นอดิศรให้เหตุผลว่า "ไหนๆ
จะขาดทุนแล้วเราก็ใส่ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้าไปด้วยเลยจะได้ขาดทุนไปครั้งเดียว
ไตรมาสต่อไปก็ไม่ต้องกังวล ซึ่งหลายบริษัทก็ทำกันอย่างนี้"
แน่นอนแลนด์แอนด์เฮ้าส์เชื่อว่าการประกาศขาดทุนในช่วงที่คนอื่นก็ขาดทุนทั้งหมด
เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะตกใจมากนักในขณะเดียวกันราคาหุ้นในตลาดก็จะไม่ตกลงมาฮวบฮาบอีกแน่เพราะมันตกลงมามากแล้ว
และนี่คือวิธีการคิดที่ชาญฉลาดของคนกลุ่มนี้ ที่หลายค่ายอาจจะยังคิดเกมตามไม่ทัน
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ แลนด์ฯ ได้หาทางแก้ปัญหาสภาพคล่องครั้งใหญ่ไปแล้ว
ด้วยการเพิ่มทุนจดทะเบียน 162.53 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินประมาณ 2,200 ล้านบาท
โดยการเสนอขายนักลงทุนทั่วไป 1,500 ล้านบาท และเสนอขายนักลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง
(Private Placement) อีก 600 กว่าล้านบาท โดยขายให้กับ บริษัท ML&H Corporation
ซึ่งเป็นบริษัทที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ร่วมทุนกับบริษัท Manuela Corporation
ในฟิลิปปินส์ เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในฟิลิปปินส์
เงินเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าว แลนด์ฯ เตรียมไว้ชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศจำนวน
1,500 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดชำระในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่วนที่เหลืออีกจำนวนหนึ่งจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
และเตรียมไว้สำหรับชำระคืนเงินกู้ที่จะครบกำหนดในปีหน้า
"เรามีเงินเพิ่มทุน 2,200 ล้านบาท และรายได้จากการดำเนินงานอีกส่วนหนึ่งซึ่งจะสามารถชำระหนี้ที่จะถึงดีลในปีหน้าได้
อย่างปีนี้เราจะมียอดโอนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท" อดิศรชี้แจง
จากผลประกอบการที่ผ่านมาของบริษัทเชื่อว่า ผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุนรายใหม่ๆ
ยังพร้อมที่จะเข้ามาสนับสนุนบริษัทอย่างเต็มที่
"หุ้นเพิ่มทุน 2,200 ล้านบาท เราขายได้กว่า 90% ไม่มีปัญหา"
อดิศรกล่าวย้ำ นั่นหมายถึงว่านักลงทุนยังให้ความวางใจในสถานะของแลนด์แอนด์เฮ้าส์อยู่มาก
การรักษาสภาพคล่องนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 1 ปีที่ผ่านมา แลนด์ฯ มียอดเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น
8,229.45 ล้านบาท จาก 3,847.98 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2539 เป็น 12,077.43
ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันปี 2540 เงินเบิกเกินบัญชีซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงนี้เองทำให้ดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก
28.97 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2539 เป็น 154.45 ล้านบาท ปี 2540 แม้จะเพิ่มขึ้นมาก
แต่เมื่อเทียบกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายอื่น
ๆ แล้ว แลนด์แอนด์เฮ้าส์ยังเป็นบริษัทชั้นนำที่มีความมั่นคงทางการเงินอยู่ในระดับที่วางใจได้
กลยุทธ์ทางด้านการเงินของแลนด์ฯ นั้นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าการทำบ้านจัดสรรในยุคนี้
นอกจากจะแม่นยำในเรื่องการมองตลาดแล้ว เวทมนต์ทางการเงินต้องพอตัวเช่นกันจึงจะผงาดเป็นจอมยุทธ์อยู่ในวงการได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีวิธีทางด้านการเงินอย่างชาญฉลาด แต่ในเรื่องนโยบายทางด้านการลงทุนที่ผ่านมา
ต้องยอมรับว่าแลนด์แอนด์เฮ้าส์ค่อนข้างเจ็บตัวกับพอร์ตลงทุนขนาดใหญ่ไม่น้อยเลย
อนันต์ ได้ให้ความสำคัญในการมองลู่ทางทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจบ้านจัดสรรอย่างเดียวมานาน
การสร้างฐานรายได้ใหม่ ๆ จึงถูกเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพียงแต่ว่าถ้าดูพอร์ตลงทุนทั้งหมด
มันยังผูกรัดเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างหนีไม่พ้น
ข้อมูลจากรายงานประจำปี 2539 ของบริษัทเปิดเผยว่า จากการลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมประมาณ
19 บริษัท เป็นบริษัททางด้านอสังหาริมทรัพย์ถึง 12 บริษัท ที่เหลือคือประเภทวัสดุก่อสร้าง
2 บริษัท ทางด้านเงินทุนหลักทรัพย์ 2 บริษัท และประกันภัย 1 บริษัท โรงพยาบาล
1 บริษัทและธุรกิจค้าปลีกอีก 1 บริษัท
สยามธานี เป็นบริษัทในเครือของแลนด์ฯ ที่ถือหุ้นอยู่ถึง 70% เคยประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างบ้านสวนธนฯ
ที่บางมดหลังจากนั้นไปทำโครงการบ้านสวนธนฯ บนถนนรัตนาธิเบศร์ และถนนรัชดาภิเษก
บ้านสวนธนฯ รัตนาธิเบศร์ที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว 14 ตึก ตึกละ 32 ยูนิต เหลือไม่ถึง
10 ยูนิต ราคา 1.3 ล้านบาทขึ้นไป เฟสใหม่จะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2541 อีก 5
ตึก ขนาด 60-80 ตร.ม. ราคา 1.3 ล้านบาทขึ้นไปเช่นกัน ส่วนที่ซอยเสือใหญ่อุทิศ
12 อาคารเสร็จแล้วเช่นกันแต่ยังเหลือขาย ในขนาด 47 ตร.ว.ราคา 1.3 ล้านบาทอีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนบริษัทสยามสินธร เป็นบริษัททางด้านพัฒนาที่ดินบริษัทแรกที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ขยายงานออกไปโดยมีกลุ่มพันธมิตรสำคัญคือธนาคารไทยพาณิชย์
และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ร่วมด้วย ปัจจุบันไทยพาณิชย์ถือหุ้น 25% แลนด์แอนด์เฮ้าส์
14% และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อีก 37.5%
พันธมิตรกลุ่มนี้เกี่ยวก้อยเข้าร่วมทุนในบริษัทพัฒนาที่ดินอื่นๆ ต่อมาอีกหลายบริษัท
แต่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาทางด้านการขายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ผลงานในระยะแรกๆ ของสยามสินธรก็คือ โครงการรัตนโกสินทร์ วิว ตึกแฝดเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า
โครงการดิโอลด์สยาม อาคารสินธร แล้วหลังจากนั้นก็ค่อนข้างเงียบไป ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา
โครงการที่พยายามจะเข็นเลยไม่เดินหน้าเท่าที่ควร เช่น การเข้าไปซื้อที่ดินที่หน้าสถานทูตลาวพื้นที่
14 ไร่ บนถนนสาธร จำนวน 700 ล้านบาท เพื่อจะสร้างโครงการอาคารสำนักงาน หรือการเช่าที่ดินจากตระกูลศิริพัฒน์
21 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนอาหารตำหนักไท บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งหมดสัญญาเช่าไป
ตั้งแต่กลางปี 2538 และได้วางแผนไว้ว่าจะสร้างเป็นศูนย์บันเทิงครบวงจรรวมทั้งแผนงานการที่จะพัฒนาที่ดินบนถนนพระราม
3
โครงการทั้งหมดได้ถูกชะลอออกไปหมด ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ใช้เงินจำนวนมากในการซื้อโครงการสมประสงค์พลาซ่า
บนหาดจอมเทียนและเข้าไปถือหุ้น 25% ฟินิกซ์กอล์ฟในจังหวัดชลบุรี
โครงการสมประสงค์พลาซ่าเป็นโครงการศูนย์การค้าร้างของสมประสงค์กรุ๊ป ที่สร้างเสร็จมาตั้งแต่ปี
2534 โดยทางบริษัทสยามสินธรได้วางแผนที่จะปรับปรุงเป็นโรงแรมส่วนหนึ่ง และเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการจอมเทียนซีไซด์พัทยา
และขายลดราคาอย่างมากในส่วนของอาคารพาณิชย์ และจากการสำรวจของ "ผู้จัดการรายเดือน"
เมื่อปลายเดือนกันยายน 40 ก็พบว่า ณ วันนี้โครงการนี้ยังเป็นโครงการร้าง
ยังไม่เห็นอนาคตเช่นเคย
ตราบใดที่ภาวะเศรษฐกิจยังซบเซาต่อเนื่องเช่นนี้ การที่จะพลิกฟื้นโครงการอสังหาริมทรัพย์บนหาดจอมเทียนให้เกิดความคึกคักขึ้นคงไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย
เพราะปัจจุบันยังมีโครงการร้างที่เป็นผลพวงมาจากการเก็งกำไรยังมีอีกมากมาย
เช่นเดียวกับการไปซื้อโครงการสนามกอล์ฟ เพื่อหวังที่จะสร้างบ้านราคาแพงรอบๆ
โครงการก็คงยังไม่ถึงเวลาเช่นกัน
เมื่อตลาดอาคารสูงก็ทำไม่ได้ ตลาดศูนย์การค้าที่วางแผนให้ทีมงานของแฟชั่นไอร์แลนด์เป็นหัวหอกก็ไม่ประสบความสำเร็จ
จนต้องขายหุ้นส่วนหนึ่งให้กับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาไป สยามสินธรก็ได้ลงมาเล่นตลาดบ้านแข่งกับบริษัทในเครืออื่นเช่นกัน
โครงการที่กำลังพัฒนาจริงๆ ของสยามสินธรขณะนี้ก็คือ โครงการบ้านนริศา ในเนื้อที่
120 ไร่ บนถนนประชาอุทิศธนบุรี ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 100 ตารางวาขึ้นไป ราคาเริ่มต้นที่
60 ล้านบาท และในเดือนกันยายน จะเปิดโครงการ "นริศราญ" ถนนธนบุรีปากท่อ
กม.11 ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวเนื้อที่ 70 ตารางวาขึ้นไป ราคาเริ่มต้นที่ 4 ล้านบาท
ถึงแม้ใช้เงินในการลงทุนไปมากมาย แต่สยามสินธรยังมีตัวเลขของผลกำไรอยู่ที่
105 ล้านบาทในปี 2538 และ 130 ล้านบาทในปี 2539
ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด มหาชน เป็นบริษัทในเครืออีกบริษัทหนึ่งที่ระยะแรกจะเน้นไปในโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์
และอาคารสำนักงาน เช่น โครงการเซ็นเตอร์พอยท์ อาคารคิวเฮ้าส์ อโศก คิวเฮ้าส์สาธร
และขณะนี้กำลังพัฒนาอีกหลายโครงการเช่น เพลินจิตเฮ้าส์ สาธรคอมเพล็กซ์ และคอนโดตากอากาศที่หัวหิน
และในระยะหลังก็พยายามแทรกตลาดไปสู่โครงการบ้านจัดสรรแนวราบมากขึ้น จากสาเหตุที่ว่าโครงการอาคารสูงภาวะซื้อขายแทบจะนิ่งสนิท
ขณะนี้ควอลิตี้เฮ้าส์มีโครงการบ้านจัดสรรที่กำลังก่อสร้างพร้อมๆ กัน อยู่ประมาณ
10 โครงการ
กลายเป็นว่าบริษัทในเครือของแลนด์ฯ ที่ขยายไปพัฒนาโครงการทางด้านตึกสูงกลับหันมาสู่โปรดักส์หลักดั้งเดิมของบริษัทแม่
ซึ่งน่าจะเป็นสินค้าที่กลุ่มนี้ถนัดที่สุด เพราะผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็คือลูกหม้อเก่าแก่ที่เริ่มต้นการทำงานจากแลนด์แอนด์เฮ้าส์ทั้งนั้น
เช่น จุมพล มีสุข กรรมการผู้จัดการบริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ ธงชัย จิระดิลก ดูแลบริษัทสยามสินธร
ส่วนโครงการเวฟ ดีเวลลอปเม้นท์ ที่ไปร่วมลงทุนถึง 36% ร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนานั้น
ในภาวะตลาดอย่างนี้ก็คงปิดยอดขายไม่ง่าย เช่นเดียวกับโครงการบ้านจัดสรรที่ไปร่วมลงทุนกับต่างจังหวัด
ถึงแม้ทางกลุ่มแลนด์ฯ จะยอมรับว่าแม้จะเจ็บตัวบ้างแต่ไม่ได้รับผลกระทบจากจุดนี้มากนัก
เพราะมีเพียงไม่กี่บริษัทที่ถือหุ้นรายใหญ่ ในขณะเดียวกันบริษัทก็ได้กระจายความเสี่ยงไปยังบริษัทอื่นๆ
และทำกำไรอีกมากเช่น บริษัทบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประกันคุ้มภัย
อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงเวลานี้ แลนด์แอนด์เฮ้าส์คงต้องระวังตัวหนักขึ้นเพื่อไม่ให้ปัญหาของบริษัทร่วมทุนเหล่านั้นสวิงกลับมามีผลกระทบกับบริษัทหลัก
การเล่นบทอนุรักษ์นิยมไม่ไปลงทุนธุรกิจใหม่เพื่อถนอมเนื้อถนอมตัว และรักษาสภาพคล่องทางด้านการเงินคงเป็นเรื่องที่ต้องทำไปอีกนานเช่นกัน
ในช่วงปีที่ผ่านมาการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างหนึ่งของอนันต์ก็คือ การตัดสินใจไปเข้าร่วมกับ
Manuela Corporation ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศฟิลิปปินส์
ก่อตั้งบริษัท ML&H โดยแลนด์ฯ ถือหุ้น 40% Manuela 60% และบริษัทนี้ได้เข้าร่วมกับกลุ่มเมโทรฯ
คอร์เปอเรชั่นและรัฐบาลฟิลิปปินส์ ก่อตั้งบริษัท Fort Bonifacio Land Corporation
ซึ่งเอกชนถือหุ้น 55% รัฐบาลถือหุ้น 45% เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่
1,337 ไร่ และเป็นโครงการหนึ่งของแผนพัฒนาแห่งชาติฟิลิปปินส์ ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเอกชนเข้ามาลงทุนในธุกิจอสังหาริมทรัพย์
โดยเฉพาะเงื่อนไขพิเศษของการลงทุนที่ฟิลิปปินส์ค่อนข้างพิเศษกว่าที่อื่น
คือ ลูกค้าจะจ่ายดาวน์ 10% เป็นเวลา 5 เดือน เดือนที่ 6 สามารถกู้แบงก์ได้
90% มาจ่ายให้กับทางโครงการเลย
การลงทุนที่อินโดนีเซียนั้น เป็นการร่วมลงทุนระหว่างแลนด์แอนด์เฮ้าส์ 20%
มารูเบนี่จากญี่ปุ่น 26% ลัคกี้โกลสตาร์จากประเทศเกาหลี 25% บริษัทในประเทศอินโดนีเซีย
29% เพื่อทำโครงการ "Kota Wisata" บนพื้นที่ประมาณ 2,800 ไร่ ทางตอนใต้ของเมืองจาการ์ตา
และที่สำคัญเมื่อคำนวณมูลค่าของเงินลงทุนแลนด์แอนด์เฮ้าส์ลงทุนใน 2 ประเทศนี้เข้าด้วยกันแล้ว
ปรากฏว่าจะมีมูลค่าประมาณ 80% ของเงินกู้ต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่านโยบายค่าเงินบาทลอยตัวที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทจากการกู้เงินในต่างประเทศ
จะได้รับการชดเชยไปโดยอัตโนมัติ
จากเดือนพ.ย.39 ถึงเดือนมิ.ย.40 ในฟิลิปปินส์มียอดขายสูงถึง 1,500 ยูนิต
คิดเป็นมูลค่า 1,500 ล้านบาทจากที่เคยตั้งเป้าไว้ 1,000 ยูนิตเท่านั้น
"ต่างประเทศเราก็คงยังไม่ไปไหนเพราะตอนนี้ที่น่าลงทุนที่สุดคือบ้านเรา
แต่จะเป็นเมื่อไหร่เท่านั้น เพราะเศรษฐกิจปักหัวลงมาในรูปตัวยูไม่ใช่ตัววี"
ย้อนกลับมาดูทางด้านโปรดักส์หลักของบริษัททางด้านที่อยู่อาศัยนั้น ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรอื่นๆ
ส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาในเรื่องการขายส่งผลต่อเนื่องไปยังเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท
ทำให้การก่อสร้างและการโอนมีปัญหา แลนด์แอนด์เฮ้าส์กลับลอยตัวกับปัญหาดังกล่าว
แน่นอนการขายของบริษัทในปีนี้ย่อมน้อยลงแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกลับทำให้แลนด์ฯ
มีโอกาสมากขึ้นกว่ากลุ่มอื่น
โดยเฉพาะภาพพจน์ของคำว่า "หนึ่งในโครงการแลนด์แอนด์เฮ้าส์" เป็นสิ่งที่ขายได้มาตลอด
ถึงแม้จะมีคู่แข่งมากมาย เมื่อถึงยุคนี้ที่คนซื้อต้องสกรีนโครงการที่จะซื้ออย่างหนักแลนด์แอนด์เฮ้าส์ก็ยังเป็นตัวเลือกในระดับต้นๆ
เมื่อมองไปทางด้านแหล่งเงิน นอกจากการวางแผนการเงินอย่างระมัดระวังแล้ว
แลนด์แอนด์เฮ้าส์กับธนาคารไทยพาณิชย์มีความผูกพันแน่นแฟ้นกันมาตลอด แลนด์ฯ
จึงไม่ได้มีการกู้เงินจากสถาบันการเงินทั้ง 58 แห่งที่ปิดไป โชคดีชั้นที่
3 ที่ตามมาก็คือลูกค้ารายย่อยของแลนด์ฯ ทุกโครงการไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งเงินกู้ระยะยาวเหมือนบริษัทอื่นๆ
(อ่านในล้อมกรอบประกอบ)
ลูกค้าของแลนด์ฯ อาจจะสะดุดบ้างก็ตรงที่ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งสร้างครอบครัว
และเคยมีรายได้ในระดับปานกลางค่อนข้างสูงซื้อบ้านระดับราคาประมาณ 2-3 ล้านบาท
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกมรสุมเศรษฐกิจกระหน่ำซัดเข้าเต็มๆ ด้วยการถูกให้ออกจากงาน
หรือลดเงินเดือนลง ซึ่งอาจจะมีปัญหาในการผ่อนงวดเงินดาวน์ หรือชะลอการโอน
นพพร สุนทรจิตต์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดยืนยันกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ว่าแลนด์แอนด์เฮ้าส์มีผลกระทบในเรื่องดังกล่าวน้อยมาก และที่สำคัญในปี 2540
ยังมีตัวเลขโอนประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกิดจากยอดการขายเมื่อปี
2539 ในครึ่งปีแรกบริษัทก็สามารถโอนไปได้แล้วประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นไปตามแผน
ส่วนครึ่งปีหลังก็ไม่มีปัญหาแน่นอน
อย่างไรก็ตามนพพรยอมรับว่า การโอนของลูกบ้านอาจจะล่าช้า และชะลอไปบ้างก็ในช่วงที่รอดอกเบี้ย
9% พอรู้ว่ายอดเงินช่วยเหลือในส่วนนี้หมดก็มาโอนกันตามปกติ
ส่วนยอดขายในปี 2540 นั้นได้ตั้งไว้ประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตั้งที่คาดว่าเป็นยอดที่ต่ำมากแล้ว
สำหรับจำนวนโครงการที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีว่าจะเปิดประมาณ 7 โครงการนั้นก็ได้เปิดจริงตามแผน
นอกจากชะลอโครงการที่จังหวัดอุบลออกไปเท่านั้น
ปัจจุบันแลนด์แอนด์เฮ้าส์กำลังพัฒนาโครงการทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดรวม
34 โครงการ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 28 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ คอนโดมิเนียม
2 โครงการ แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯ 27 โครงการ ส่วนโครงการในภูมิภาคมีทั้งหมด
4 จังหวัดคือ โครงการในจังหวัดเชียงใหม่ 3 โครงการ โครงการในจังหวัดขอนแก่น
2 โครงการ โครงการในโคราช 1 โครงการ และโครงการในจังหวัดภูเก็ต 1 โครงการ
"มันเป็นยุทธวิธีทำลายกำแพงความคุ้มกันในตลาดที่เยี่ยมมากเพราะเข้าไปที่ไหนก็จะเจอโครงการของเขา
ไม่ว่าระดับราคาไหนมีหมด ลูกค้าก็ต้องเลือกเอาสักหลังอยู่ดี นี่คือจุดแข็งในเรื่องความสามารถในการบริหารโครงการพร้อมๆ
กันของเขา" แหล่งข่าวรายหนึ่งจากบริษัทพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่ คู่แข่งของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ยอมรับ
ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แลนด์แอนด์เฮ้าส์มีโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ในระดับราคา
1.3 ล้านบาท - 3 ล้านบาทประมาณ 14 โครงการ บ้านระดับราคา 3.5 ล้านบาท - 4.5
ล้านบาท บ้านระดับราคา 5.7 ล้านบาท 1 โครงการ และราคา 7-10 ล้านบาทขึ้นไปประมาณ
5 โครงการ
โครงการที่เปิดในภูมิภาคส่วนใหญ่ จะมีราคาตั้งแต่ 8 แสนบาทขึ้นไปถึง 2.5
ล้านบาท ยกเว้นโครงการบ้านพฤกษ์วารี ถนนเชียงใหม่แม่โจ้ บ้านนันทวัน ภูเก็ต
ราคาประมาณ 4 ล้านบาท บ้านลดาวัลย์ในภูเก็ตราคาประมาณ 7 ล้านบาท บ้านนันทวันที่ขอนแก่นและบ้านนันทวันที่โคราชราคาประมาณ
5.2-6.2 ล้านบาท
การให้ความสำคัญกับตัวโปรดักส์ โดยเฉพาะในด้านการออกแบบให้แตกต่างจากสินค้าของคู่แข่งในตลาดเดียวกัน
คือกลยุทธ์หนึ่งที่ทำให้แลนด์แอนด์เฮ้าส์ประสบความสำเร็จตลอดมา แต่ในขณะนี้กลยุทธ์ก็ถูกนำมาใช้ในการเข้ามามีส่วนแบ่งตลาดของบริษัทอื่นเช่นกัน
ที่ผ่านมากฤษดานคร ศุภาลัย พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เป็นบริษัทที่เป็นคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด
เรียกว่าไม่ว่าจะขยับไปทำเลไหน ก็จะวิ่งไล่เปิดตามมาติดๆ ทันที นี่ยังไม่รวมถึงรายเล็กรายน้อยอื่น
ๆ แต่ในช่วงปี 2541 เป็นต้นไป บาดแผลที่บริษัทคู่แข่งได้รับจากภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านมา
ทำให้เชื่อได้ว่าทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องหยุดเยียวยากันพักใหญ่แน่นอน
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของกลุ่มแลนด์ฯ ก็คือการบริหารโครงการหลังการขาย โครงการของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ถูกร้องเรียนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก
ถ้าเทียบกับบ้านที่สร้างเสร็จในแต่ละปี เมื่อปี 2539 ที่ผ่านมา คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
(สคบ.) ได้ให้รางวัลกลุ่มแลนด์ฯ เป็นบริษัทบ้านจัดสรรดีเด่นประจำปี และนี่คือสิ่งหนึ่งที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ภูมิใจนักหนาว่า
เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเลียนแบบและตามทันได้
ถึงแม้ตลาดโดยรวมแทบจะตายสนิท แต่สำหรับผู้ที่มีกำลังซื้อที่แท้จริงแล้ว
ชื่อของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ยังขายได้อยู่แน่นอน