|

ดัชนีรูด12จุด โบรกฯฟันธง "แม้ว"ลาออกหุ้นดีดกลับ
ผู้จัดการรายวัน(8 มีนาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นร่วงกว่า 12 จุด ฝรั่งถอดใจเริ่มขายทิ้ง โบรกเกอร์ เชื่อถ้าหากนายกฯลาออกหุ้นหายอึมครึม ดันดัชนีพุ่ง 770 จุด เชื่อนายกฯดื้อไม่ยอมลาออกกลัวถูกยึดทรัพย์ ขาใหญ่เชื่อใกล้เวลากลุ่มทุนลุยหุ้นการเมือง จับตาก่อนเลือกตั้งหุ้นการเมืองมีลากขึ้นแล้วเชือด
วานนี้ (7 มี.ค.) บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ TISCO จัดสัมมนา เรื่อง “การจัดพอร์ตการลงทุน ให้กระชับรับกำไร” นายวิวัฒน์ เตชะพูนผล หัวหน้าบริการลูกค้าส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ TISCO เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้ยังคงกดดันจากปัจจัยทางการเมืองจากการชุมนุมให้ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งหากนายกมีการลาออกจากตำแหน่งจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะที่ 770 จุด แต่หากนายกไม่ลาออกก็จะทำให้ดัชนีฯมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ 740 จุด หรือ 705 จุด อย่างไรก็ตามเชื่อว่านายกฯจะไม่ลาออก เพราะหากลาออกจะต้องถูกตรวจสอบทรัพย์สิน
“หากปัจจัยทางการเมืองยังคงยืดยื้อนานเป็นเดือนก็จะทำให้ตลาดทนไม่ไหว และเมื่อนักลงทุนเข้าไปซื้อหุ้นแล้วราคาไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 5 วันติดต่อกันก็จะมีการขายออกมาถึงแม้จะขาดทุนก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนต้องติดตามข่าวกลุ่มพันธมิตรที่จะเดินทางไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อกดดันให้นายกลาออก ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อเก็งกำไรเพื่อรอลุ้นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว”นายวิวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันถือว่าตลาดหุ้นไทยมีการรับรู้เรื่องปัจจัยการเมืองไปแล้ว ซึ่งหากเกิดปัจจัยลบเกิดขึ้นก็จะทำให้ดัชนีมีการปรับตัวลดลงไม่มากเพราะ รับรู้ข่าวไปพอสมควรแล้ว
สำหรับแนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศนั้นหากปัจจัยทางการยังคงยืดเยื้อ 2 เดือน ก็จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการชะลอการลงทุนและจะส่งผลทำให้จีดีพีมีการชะลอ
ด้านกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่การเมืองมีความไม่แน่นอนนั้นบริษัทแนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อยจากปัจจัยการเมือง และเป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง หรือหุ้นที่น่าจะได้รับประโยชน์ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเป้าดัชนีฯปีนี้ที่ 800 จุด เนื่องจาก มองว่าราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งดัชนีฯ800 จุด มีค่าP/E เพียง 10 เท่า และมีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 4.5% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในแถบเอเซีย และบริษัทคาดจีดีพีในปีนี้จะโตขึ้นประมาณ 5% ซึ่งยังไม่ได้รวมเรื่องปัจจัยทางการเมือง ซึ่งหากการเมืองยืดเยื้อก็จะมีการปรับประมาณการจีดีพีลดลง บริษัทคาดอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 0.25% ทั้งไทยและสหรัฐอเมริกา ทำให้อัตราดอกเบี้ยไทยอยู่ที่ 4.75%
**การเมืองฉุดหุ้นร่วง 12 จุด
สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (7 มี.ค.) ตลาดหุ้นปรับตัวในแดนลบตลอดทั้งวัน หลังสารพัดปัจจัยลบกดดันทั้งเรื่องประเด็นทางการเมือง-ราคาน้ำมัน-ตลาดต่างประเทศ ก่อนที่ดัชนีจะปิดที่ 738.36 จุด ลดลง 12.45 จุด หรือ 1.66% โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 750.64 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 737.61 จุด มูลค่าการซื้อขาย 12,053.07 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 790.96 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 387.88 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,178.84 ล้านบาท
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออก ดัชนีตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนีมีแนวต้านที่ 760 จุด แต่ภาวะการลงทุนในช่วงนี้ ปัจจัยทางการเมืองยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากมีการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 มี.ค.นี้
ทั้งนี้ การรวมพลเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ อาจจะส่งผลทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันได้ง่าย ดังนั้นยังเชื่อว่าดัชนีมีโอกาสที่จะซึมลงต่อเนื่อง ลงไปทดสอบแนวรับที่ 742 จุด
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด กล่าวว่า ดัชนีปรับตัวลดลงเนื่องจากมีแรงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงานเนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ขณะที่ปัจจัยลบทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยที่เข้ามาซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดปรับตัวลดลงแรง
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า การปรับปรับตัวลดลงของดัชนีเนื่องจากเป็นไปตามตลาดหุ้นในภูมิภาค ประกอบกับมีแรงขายในหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ทั้ง กลุ่มพลังงานธนาคารและสื่อสาร
**ใกล้เวลาขาใหญ่ลุยหุ้นการเมือง
แหล่งข่าวนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ในช่วงที่ปัจจัยทางการเมืองยังไม่สามารถหาทางออกได้ก็จะยังถือครองเงินสดเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พร้อมจะเข้าลงทุนหากมีกลุ่มทุนทางการเมืองเข้ามาไล่ซื้อหุ้นบางบริษัทเพื่อหาผลตอบแทนจากการลงทุน
ทั้งนี้ ในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งหุ้นบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง หรือนักลงทุนมักจะมีการปรับขึ้นค่อนข้างโดดเด่น ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นที่รู้กันของนักลงทุนเพราะว่ามีการเข้าไปเก็งกำไรผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องทางธุรกิจ
"ช่วงนี้น่าใกล้ช่วงที่จะเลือกตั้งตามการประกาศของสำนักงานกกต. ก็น่าจะใกล้ที่กลุ่มทุนจะเข้ามาไล่ราคาหุ้นนักลงทุนหากจะลงทุนก็ต้องเข้าเร็วออกเร็ว"แหล่งข่าวกล่าว
อย่างไรก็ตามขณะนี้กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ได้ซื้อขายหุ้นในเม็ดเงินที่น้อยลง จะเห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลง สาเหตุที่นักลงทุนรายใหญ่ซื้อขายน้อยลง เพราะปัจจัยทางการเมืองที่ไม่แน่นอน โดยการซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่นั้นจะเป็นการเข้าเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็ก เพราะใช้เงินลงทุนไม่มากนักในการไล่ราคาหุ้น และคาดว่าถ้าปัจจัยทางการเมืองเริ่มคลี่คลายภาวะตลาดหุ้นฟื้นตัว ก็เชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนกลับมาซื้อขายมากยิ่งขึ้น
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|