|

เมเจอร์หว่าน800ล.ลุยเพิ่มสาขา ส่งเอ็มแคชกระตุ้นความถี่ดูหนัง
ผู้จัดการรายวัน(7 มีนาคม 2549)
กลับสู่หน้าหลัก
เมเจอร์ทุ่มงบ 800 ล้านบาทเดินหน้าขยายโรงภาพยนตร์เพิ่ม เผยปัจจัยลบปีนี้ยังห่วงการเมืองที่ไม่แน่นอน แต่เชื่อสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้คนยังมาดูหนังในโรง ล่าสุดเปิดตัว “บัตร เมเจอร์ เอ็ม –แคช” หวังเพิ่มความถี่ให้คนชมภาพยนตร์มากขึ้น คาดยอดขายบัตรปีแรกกว่า 300 ล้านบาทต่อปี
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมในปีนี้ว่า บริษัทฯพยายามสร้างทีมเวิร์คให้แข็งแกร่ง ซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่บริษัทฯจะมีการ
ขยายงานมาก ภายใต้งบลงทุน700-800 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโรงภาพยนตร์แบบเซกเมนต์เตชั่นหรือโรงภาพยนตร์ตามประเภทหนัง เช่น โรงอินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์ม เป็นต้น รวมถึงการขยาย
ไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น เช่น เปิดโรงภาพยนตร์ที่สมุย,พัทยา,พิษณุโลก และโครงการเอสพานาดที่รัชดาภิเษก ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนกับสยามฟิวเจอร์ ภายใต้มูลค่าโครงการกว่า 400 ล้านบาท โดยบริษัทฯถือหุ้น 25% จะเปิดบริการได้ในเดือนตุลาคมนี้ โดยจะมีบริการเพื่อความบันเทิงทุกรูปแบบ ทั้งโรงละคร โรงภาพยนตร์ และโบว์ลิ่ง ฯลฯ คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 3-5 ปี
รูปแบบการขยายสาขาของบริษัทฯจะมี 4 รูปแบบ ได้แก่ สแตนด์ อโลน, ไปกับศูนย์การค้า, ไปกับสยามฟิวเจอร์ และไปกับดิสเคานต์สโตร์อย่างบิ๊กซี คาร์ฟูร์ และโลตัส โดยพื้นที่การทำธุรกิจโรงภาพยนตร์จะต้องใช้ประมาณ 8,000-10,000 ตร.ม.
“ปีนี้ภาพยนตร์ฝรั่งดีหลายเรื่อง ขณะที่ภาพยนตร์ไทยต้องรอลุ้นจากค่ายจีทีเอช โดยสัดส่วนการฉายภาพยนตร์ในปัจจุบัน แบ่งเป็น หนังฝรั่ง 60% และหนังไทย 40% สำหรับตลาดรวมของธุรกิจโรงภาพยนตร์มีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะโต 15—20%”
นายวิชา กล่าวด้วยว่า ปัจจัยลบปีนี้ที่น่าเป็นห่วง คือ เรื่องการเมืองในปัจจุบันที่ยังไม่แน่นอน ซึ่งก็เชื่อว่าเหตุการณ์จะไม่ยืดเยื้อนานและคาดว่าจะจบลงโดยเร็ว แต่โดยภาพรวมในตลาดหลายบริษัทยังมีกำไรอยู่เห็นได้จากการที่หุ้นหลายตัวขึ้น ขณะที่เรื่องเศรษฐกิจทั้งดอกเบี้ยและราคาน้ำมันขึ้นราคานั้น มองว่าผู้บริโภคปรับตัวได้แล้วไม่น่าเป็นห่วง ซึ่งจากสภาพเศรษฐกิจแบบนี้คนส่วนใหญ่ยังนิยมใช้ เวลาว่างในการชมภาพยนตร์
เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ “เมเจอร์ เอ็ม-แคช”
นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์และอีจีวี บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการตลาดในปีนี้ของบริษัทฯยังคงใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเซกเมนต์เตชั่น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ตัวโปรดักส์ เช่น ที่นั่งในโรงภาพยนตร์ 2.โปรโมชั่นต่างๆ เช่น ซีซั่นนอล โปรแกรมหรือการทำโปรโมชั่นตามเทศกาล และ3.บริการ
ต่างๆที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าทั้งโปรดักส์ เซอร์วิสและอีโมชั่นนอล เซอร์วิส โดยจะให้ความสำคัญกับการให้บริการที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ล่าสุดได้เปิดตัว “เมเจอร์ เอ็ม –แคช : เมจิค ออฟ ซีเนม่า” ซึ่งเป็นนวัตกรรมบริการที่สามารถให้บริการอย่างรวดเร็วและสะดวก เพื่อต้องการเพิ่มความถี่ในการชมภาพยนตร์จากปัจจุบันผู้บริโภคจะดู
ภาพยนตร์เฉลี่ย 1-2 เรื่องต่อเดือน เปลี่ยนเป็นดู 2-4 เรื่องต่อเดือน รวมถึงเพื่อรู้ถึงข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น จะเริ่มต้นให้บริการวันที่ 18 เมษายนนี้ที่เมเจอร์ฯและอีจีวี 17 สาขาในกรุงเทพฯและเชียงใหม่ ทั้งนี้บัตรเมเจอร์ เอ็ม-แคชจะแทนที่บัตรเดิมที่มีอยู่ เช่น เอ็ม คลับ, กิฟท์ การ์ด และเมเจอร์ การ์ด
“บริษัทฯใช้เวลาคิดค้นบัตรนี้เป็นเวลากว่า 10 เดือน ซึ่งในอนาคตเอ็ม-แคชจะสามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจ รวมถึงสามารถหาซื้อบัตรได้ทุกแห่ง โดยเป้าหมายของเอ็ม-แคช คือ ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปีในการเปลี่ยน นอกจากนี้เรายังเชื่อว่าการออกบัตรนี้จะทำให้มาร์เก็ตแชร์ดีขึ้น จากปัจจุบันมีแชร์อยู่ 75% สิ้นปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 80% อีกทั้งยังเป็นการสร้างแบรนด์ รอยัลตี้ให้สูงขึ้นในกลุ่มลูกค้า”
สำหรับการใช้บริการบัตรเมเจอร์ เอ็ม-แคชนั้น ลูกค้าสามารถใช้รหัสส่วนตัวซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ทางอินเทอร์เน็ต , เมเจอร์ไลน์ และตู้คีออส เป็นต้น นอกจากนี้บัตรเมเจอร์เอ็ม-แคชฯยังสามารถใช้ชำระค่าสินค้า ,บริการเคาน์เตอร์จำหน่ายขนมและเครื่องดื่ม ,โบว์ลิ่ง และคาราโอเกะ มีให้เลือก 6 แบบ ได้แก่ บัตรราคา 300 500 800 1,000 1,500 และ2,000 บาท โดยลูกค้าที่ซื้อบัตรจะได้รับมูลค่าบัตรที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ตั้งเป้ายอดขายบัตรปีแรกไว้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี
“เมเจอร์ เอ็ม-แคชเป็นบริการที่ใช้แทนเงินสด ซึ่งจะช่วยให้เรามีศักยภาพในการทำตลาดเพิ่มมากกว่า 2 เท่า ซึ่งเรามีสถานที่บางจุดที่อยู่ใกล้กัน เช่นที่อีจีวี สยามดิสและพารากอน ซีนีเพล็กซ์ ตรงนี้สามารถทำให้แต่ละพื้นที่มีการคอร์สกันมากขึ้นในด้านต่างๆ เช่น ข้อมูลในการจองภาพยนตร์ ฯลฯ โดยจะช่วยให้ภาพยนตร์อยู่ในโรงได้นานขึ้น และเพิ่มรายได้ให้หนังได้มากขึ้น”
งบการตลาดปีนี้เตรียมไว้ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาทในการทำตลาดและโปรโมชั่นผ่านสื่อต่างๆ ทั้งอโบฟ เดอะ ไลน์ และบีโลว์ เดอะ ไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภคมีการรับรู้มากขึ้น ขณะที่ยอดรายได้ปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะโต 20-30%
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|