บล.กสิกรฯตั้งเป้ามาร์เกตแชร์1%ขยายฐานสถาบัน


ผู้จัดการรายวัน(3 มีนาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

บล.กสิกรไทย ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ 1% พร้อมขยายฐานลูกค้าเพิ่มนักลงทุนสถาบันจากเดิม 10% เป็น 40% เตรียมให้บริการอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้งกลางเดือนนี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วประมาณ 2 บริษัท โดยรายแรกนำร่องภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ระบุหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อยจากภาวะตลาดผันผวนได้แก่กลุ่มแบงก์-พลังงาน-หุ้นปันผลที่ดี

นายรพี สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์)ที่ระดับ 1% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านซึ่งอยู่ที่ 0.30% พร้อมเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันจากเดิมอยู่ที่ประมาณ 10% เป็น 40% โดยปัจจุบันมีลูกค้าเป็นนักลงทุนสถาบันแล้ว 4 รายทั้งกองทุนในประเทศและบริษัทประกันภัย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนลูกค้าสถาบันในปีนี้ให้เป็น 10 บริษัท ขณะที่จำนวนบัญชีลูกค้าตั้งเป้าเพิ่มอีก 5,000 บัญชีจากปัจจุบันมีบัญชีลูกค้าประมาณ 2,000 บัญชี

ทั้งนี้บริษัทเตรียมที่จะเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง)จากปัจจุบันที่มีอยู่ 55 คนจะเพิ่มอีก 50 คนเพิ่มรองรับการขยายฐานลูกค้าและการเปิดสาขาใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างการเลือกทำเล โดยจะเลือกในบริเวณที่มีกลุ่มลูกค้านักลงทุนแน่นอน เช่น สุขุมวิท สีลม หรือ สาทร เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทเตรียมที่จะเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้ง โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการได้ช่วงกลางเดือนนี้

สำหรับงานทางด้านวาณิชธนกิจ ปัจจุบันบริษัทมีงานทางด้านการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 1-2 รายซึ่ง 1 รายคาดว่าจะสามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงไตรมาส3/2549 ซึ่งอาจจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องการเข้าจดทะเบียนได้เพราะจะต้องรอจังหวะที่เหมาะสม แต่หากจะต้องมีการเลื่อนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ออกไปก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบเพราะบริษัทมีธนาคารเป็นบริษัทแม่ ซึ่งสามารถอนุมัติเงินกู้ระยะสั้นเพื่อให้จ่ายในช่วงที่รอการเข้าจดทะเบียนได้

นอกจากนี้บริษัทยังมีงานด้านการควบรวมกิจการอีกประมาณ 2 ราย ซึ่งบริษัทจะเน้นในธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ โดยอาศัยเครือข่ายจากธนาคารแม่เป็นหลัก

นายรพี กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน แต่สิ่งทีเกิดขึ้นอาจจะส่งผลกระทบบ้างในระยะสั้นกับบริษัทจดทะเบียนบางแห่งกลุ่มเท่านั้น แต่หากพิจารณาในระยะยาวเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ

ทั้งนี้สิ่งที่กระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงสั้น คงเป็นเรื่องการเลื่อนโครงการเมกะโปรเจกต์ออกไปจากเดิมที่คาดว่าจะสามารถเริ่มได้ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวจะสะท้อนออกมาในรูปของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่จะไหลเข้ามาช้ากว่ากำหนดเดิมโดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนในโครงการดังกล่าวในช่วงปี พ.ศ.2550

นอกจากนี้เรื่องการเจรจาเปิดเสรีการค้าหรือเอฟทีเอ(FTA) ซึ่งจะต้องเลื่อนออกไปจากเดิมที่จะมีการตกลงกันช่วงกลางปี แต่เรื่องดังกล่าวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยากว่าจะได้ข้อสรุปเป็นอย่างไร ด้านภาวะตลาดหุ้นคาดว่าจะยังคงมีการผันผวนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยหลักยังคงไม่มีความชัดเจน ยังมีหลายเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้โดยตลอดซึ่งนักลงทุนจะต้องให้ความสนใจ ขณะที่หุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยจากปัจจัยทางการเมือง เช่น กลุ่มพลังงาน ธนาคาร และหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล เป็นต้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.