การเมืองฉุดศก.หด1.5%ภัทรประเมินตัวเลขจีดีพีเหลือ4%


ผู้จัดการรายวัน(3 มีนาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

บล.ภัทรชี้การเมืองยืดเยื้อฉุดGDP หดเหลือ 3-4% แม้ช่วงเลือกตั้งเงินสะพัดกระตุ้นเศรษฐกิจ “ศุภวุฒิ”เป็นห่วงหากมีการเปลี่ยนแปลงการเมือง แนะให้คงนโยบายที่ดีไว้ เผยนักลงทุนต่างชาติสับสนการเมืองมองไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยง เดินหน้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องจากราคาถูกมีผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในภูมิภาค พร้อมติดตามหลังเลือกตั้งประชาชนรู้สึกชอบธรรมหรือไม่

วานนี้ (2 มี.ค.)บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA จัดสัมมนา“เศรษฐศาสตร์จานร้อน ON TOUR ” ในหัวข้อเรื่อง “รู้ลึก...รู้จริง...ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2549” ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือPHATRA เปิดเผยว่า หากปัจจัยทางการเมืองยังคงยืดเยื้อและเมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนเสร็จเพื่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ แล้วจะต้องมีการยุบสภาอีกครั้ง จะส่งผลทำให้ไม่สามารถดำเนินการนโยบายทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องจึงทำให้การลงทุนของรัฐบาลและภาคเอกชนมีการชะลอ ก็จะส่งผลให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) โตเพียง 3-4%จากเดิมบล.ภัทรคาดว่าGDPปีนี้โต 4.5%

ทั้งนี้บล.ภัทรคาดว่าการลงทุนของภาครัฐบาลและเอกชนปีนี้จะโต 12% และการลงทุนดังกล่าวก็จะมีผลต่อ GDP 27-28 % หากปัจจัยทางการเมืองยืดเยื้อ 3- 6เดือนก็จะส่งผลให้การลงทุนปีนี้โตเพียง 6% ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการชะลอ 1-2% แต่เมื่อมีการเลือกตั้งก็จะส่งผลให้มีการบริโภคมากขึ้น ในด้านการจัดทำโปสเตอร์ สิ่งพิมพ์ ทำให้มีเงินสะพัดประมาณ 5,000 ล้านบาท ก็จะช่วยทำให้GDP มีการเติบโต ได้ 0.5-0.8% ดังนั้นเมื่อนำมาหักลบกันแล้วเศรษฐกิจจะขยายตัวลดลงประมาณ 0.5-1.5% ซึ่งหากมีการเลือกตั้ง 3 ครั้งทำให้มีการใช้จ่ายและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจมีการเติบโตได้ซึ่งมองว่าเป็นผลดีที่น้อยกว่ามีการลงทุนที่จะมีผลดีในระยะยาวที่จะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้

แนะคงนโยบายเศรษฐกิจที่ดีไว้

สำหรับส่วนตัวมองว่าการปฏิรูปการเมืองถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่แรงกดดันทางการเมืองทำให้มีการโจมตีรัฐบาลและส่งผลให้มีการโจมตีนโยบายของรัฐบาลในด้านที่ดี กลายเป็นนโยบายที่ไม่ดี จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันถือว่าดีมีการดำเนินการรองรับกับกระแสโลกาภิวัตน์ เช่น การเปิดเสรีทางการค้า (FTA) กับประเทศ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และมีการดึงเม็ดเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทำให้มีผู้นำคนใหม่เข้ามา ก็ควรที่จะคงนโยบายที่ดีไว้

นายศุภวุฒิ กล่าวว่า จากปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นมองว่า การเจรจาFTA กับ สหรัฐอเมริกาจะยังไม่เกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทยทำให้ประเทศไทยเสียส่วนแบ่งทางการตลาดในอเมริกา โดยไทยมีการส่งออกสินค้าไปอเมริกาคิดเป็น 10% ดังนั้นก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการสะดุดและมีผลต่อเศรษฐกิจระยะยาว ดังนั้นไทยควรที่จะต้องเร่งให้มีการลงทุนทั้งนี้ใน 6 เดือนที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีนโยบายที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขั้น เนื่องจากมีความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ แต่ล่าสุดจากปัจจัยทางการเมืองก็กังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโตเร็วเหมือนกับที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นจะต้องมีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน โดยมองว่า ธปท.จะมีการขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 4.75% เท่านั้น

“มองว่าในการประชุมของธปท.ในเดือนนี้คาดว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย อีก 0.25% เป็น 4.50% และคาดว่าเม.ย.ธปท.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 4.75 ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดเพียงเท่านี้"

อย่างไรก็ตามในอีก 2-3 สัปดาห์จากนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก ซึ่งรัฐบาลก็พยายามให้มีการเลือกตั้ง และทำให้มีความชอบธรรม ซึ่งต้องรอหลังเลือกตั้งแล้วประชาชนมองว่าการเลือกตั้งดังกล่าวมีความชอบธรรมหรือไม่ ซึ่งหากมองว่าไม่มีความชอบธรรมก็จะเกิดการต่อต้านต่อไป แต่หากประชาชนมองว่ามีความชอบธรรมก็จะทำให้มีการแก้รัฐธรรมมนูญเกิดฉันทามติ รวมถึงทำให้เกิดความปรองดองในประเทศและสถานการณ์ต่างๆก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ

“ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายก็พยายามทำให้เกิดความชอบธรรม และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะกล่าวปราศรัยต่อประชาชนที่สนามหลวงวันที่ 3 มีนาคม และมีท่าทีอาจจะมีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นกระบวนการที่รัฐบาลดำเนินการ เพื่อให้เกิดความชอบธรรม ซึ่งก็ขึ้นกับความรู้สึกของประชาชนว่า จะเห็นว่าเป็นความชอบธรรมหรือไม่” นายศุภวุฒิ กล่าว

ต่างชาติไม่เข้าใจเหตุการณ์การเมือง

นายศุภวุฒิ กล่าวว่า จากที่ได้มีการพบกับนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศก็มีการสอบถามในเรื่องสถานการณ์ทางการเมือง และไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นได้รับการเลือกตั้งมาด้วยคะแนนเสียงข้างมาก แต่ก็มีการต่อต้าน และการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN นั้นก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย และนายกก็มีการประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วทำไมยังมีการค่ำบาตร

สำหรับจากปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้นทำให้นักลงทุนไม่มีความเข้าใจ ซึ่งจากความไม่เข้าใจในเรื่องทางการเมืองนั้นนักลงทุนต่างประเทศก็มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นปัจจัยเสี่ยง ดังนั้นจึงทำให้นักลงทุนต่างประเทศยังคงลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะ ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติจึงมองหาหุ้นที่ดีเพื่อเข้ามาลงทุน มากกว่าที่จะมีการขายหุ้นออกไป โดย 2 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 80,000 ล้านบาท

“นักลงทุนต่างประเทศที่ไปไปพบนั้นเป็นกองทุนที่ลงทุนระยะยาว 60% เป็นนักลงทุนเฮจด์ฟันด์ 40% ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศนั้นมีความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศจริง โดยการที่มีเม็ดเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเซียมาก เพราะ ตลาดที่มีอัตราการเติบโตที่ดีของโลก และเศรษฐกิจในเอเซียเป็นแรงพลักดันให้เศรษฐกิจโลกมีการเติบโต เช่น จีน สินค้าที่มีราคาถูก และเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็มีเริ่มมีการฟื้นตัว โดยนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนมองว่าไม่ใช่นอมินี เพราะ ปกติแล้ว 15 ธ.ค.นักลงทุนต่างประเทศจะหยุดซื้อหุ้นเพื่อพักผ่อน แต่ในช่วงคริสต์มาสกองทุนต่างประเทศเข้ามาสอบถามข้อมูลดังนั้น เชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาไม่ใช่นอมินี”นายศุถวัฒิกล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.