TPIPLตั้งเป้าปีนี้โต20%แม้เมกะโปรเจกต์เลื่อน


ผู้จัดการรายวัน(3 มีนาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

ทีพีไอตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 15-20%จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีปริมาณและราคาขายปูนซีเมนต์ที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาเม็ดพลาสติกจะอ่อนตัวลงแต่ไม่มาก ส่วนการเลื่อนโครงการเมกะโปรเจกต์ส่งผลกระทบเล็กน้อย เชื่อตลาดปูนซีเมนต์ยังเติบโตสูงกว่าจีดีพี 1.5 เท่า เผยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อกู้เงินใช้ในการรีไฟแนนซ์หนี้ทั้งหมด 2.4 หมื่นล้านบาท ที่จะครบดีลจ่ายคืนเจ้าหนี้ภายในสิ้นปี 2550

นายประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)(TPIPL) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้จะเติบโตเพิ่ม 15-20%จากปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวม 2.14 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีจะเพิ่มปริมาณการผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาขายปูนซีเมนต์ได้ปรับตัวเพิ่มสูง โดยช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ราคาปูนได้ปรับขึ้นมาแล้ว 70 บาท/ตัน โดยคาดว่าหวังว่าราคาน่าจะปรับขึ้นไปได้อีก 150 บาท/ตัน ส่วนราคาปิโตรเคมีไม่น่าจะปรับตัวลดลงมากแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงวัฎจักรขาลงก็ตาม ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27%

นอกจากนี้บริษัทฯมีแผนที่จะขายปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมที่จำหน่ายอยู่ 80%ของการผลิตปีที่แล้ว 8.5 ล้านตัน โดยตั้งเป้าที่จะขายในประเทศให้ได้ 90%ของกำลังการผลิต ที่เหลือส่งออก เนื่องจากราคาขายในประเทศจะสูงกว่าราคาส่งออก ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้ของTPIPLในงวดปี 2548 มาจากปูนซีเมนต์ 52% เม็ดพลาสติกแอลดีพีอี 33%และคอนกรีต 15%

นายประเสริฐ กล่าวถึงความคืบหน้าแผนการรีไฟแนนซ์หนี้ทั้งหมดของบริษัทฯว่า ขณะนี้บริษัทฯได้มีการเจรจากับสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศเพื่อจะกู้เงินนำมารีไฟแนนซ์หนี้ทั้งหมดประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทฯต้องการกู้เป็นเงินสกุลบาท โดยบริษัทฯมีเวลาที่จะดำเนินการไปจนถึงสิ้นปี 2550 ซึ่เป็นปีที่ครบกำหนดต้องชำระหนี้

ทั้งหมดคืนให้กับเจ้าหนี้ คาดว่าจะเหลืออยู่ 456 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากปีนี้บริษัทฯต้องชำระหนี้เงินต้น 72 ล้านเหรียญสหรัฐ และปีถัดไปอีกคืนหนี้เงินต้นอีก 72 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการซื้อหนี้คืนที่มีส่วนลด โดยTPIPLได้นำเงินไปวางที่ศาลล้มละลายกลางนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังรอว่าศาลฎีกาจะรับคำร้องของเจ้าหนี้ 11 รายที่ยื่น

อุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ให้เจ้าหนี้TPIPL รับคืนหนี้แบบมีส่วนลดไปก่อนหน้านี้ คาดว่าศาลฎีกาน่าจะมีคำสั่งออกมาในปีนี้ หากศาลฎีกายกคำร้องอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ดังกล่าว ทางบริษัทฯก็จะบันทึกกำไรจากการซื้อหนี้แบบมีส่วนลด พร้อมกับดอกเบี้ยคงค้าง รวมทั้งสิ้น 2.5 พันล้านบาท

นายประเสริฐ กล่าวถึงผลกระทบหากโครงการเมกะโปรเจกต์ต้องเลื่อนออกไปว่า ขณะนี้มีแนวโน้มออกมาชัดเจนว่าโครงการเมกะโปรเจกต์คงต้องเลื่อนออกไป หลังจากรัฐบาลประกาศยุบสภา โดยส่งผลกระทบต่อบริษัทฯเล็กน้อย แต่เชื่อว่ายอดการใช้ปูนซีเมนต์ในไทยจะเติบโตสูงกว่า 1.5 เท่าของการโตทางเศรษฐกิจของประเทศ (จีดีพี) หากปีนี้จีดีพีไทยโต 5% ยอดการใช้ปูนจะโต 7%

ส่วนการสร้างไลน์การผลิตปูนแห่งที่ 4 อีก 3 ล้านตันนั้น คงต้องรอความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ทางการเงินก่อนตามเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ที่ไม่อนุญาตให้บริษัทฯลงทุนเพิ่มเติมเพราะต้องการให้นำเงินมาชำระหนี้ เว้นแต่เจ้าหนี้จะอนุมัติ หากจะลงทุนขยายโรงงานปูนแห่งที่ 4 จะใช้เงินเพิ่มเติมอีก 150 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนกรณีที่ตลท.ต้องการให้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ลาออกจากกรรมการใน 3 บมจ. คือTPI TPIPL BUI เนื่องจากขาดคุณสมบัติการเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนหลังจากที่ก.ล.ต.มีการกล่าวโทษในข้อหาสร้างราคาหุ้นTPIPL ว่า ทุกอย่างน่าจะจบด้วยดีในเร็วๆนี้ ทั้งนี้นายประชัยเห็นว่าการกล่าวโทษของก.ล.ต.ไม่เป็นธรรม เนื่องจากนายประชัยไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับบริษัท สเติร์น สจ๊อต (ประเทศไทย) ได้เผยแพร่เกี่ยวกับการเมินมูลค่าองค์กรทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหุ้นTPIPLมีราคาสูงขึ้น

ทั้งนี้ ตลท.จะดำเนินการส่งหนังสือแจ้งไปยังบริษัทเพื่อให้ปลดนายประชัยออกจากกรรมการ หากไม่ดำเนินการตลท.จะดำเนินการขึ้นเครื่องหมาย SP และ C ก่อนที่จะดำเนินการเพิกถอนออกจากตลท. ส่วนTPI ตลท.จะรอคำสั่งศาลล้มละลายกลางในวันที่ 26 เม.ย.นี้ที่ศาลฯจะมีคำสั่งให้อกอจากการฟื้นฟูหรือไม่ เนื่องจากผู้บริหารแผนฯยืนยันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการชุดเดิมบางส่วน หลังศาลฯมีคำสั่งให้TPI ออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ

สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2548 TPIPL มีรายได้จากการขาย 2.14 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 2.08 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.52 พันล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.10 พันล้านบาท เนื่องจากต้นทุนการผลิตซีเมนต์เพิ่มขึ้นแต่ราคาปรับตัวลดลงมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 35%เหลือเพียง 27%ในปี 2548


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.