"มหพันธ์"ส่งบ้านสำเร็จรูปเบียดกคช.หวังต่อยอดผลิตภัณฑ์เล็งเอ็กซ์พอร์ตต่างประเทศ


ผู้จัดการรายวัน(2 มีนาคม 2549)



กลับสู่หน้าหลัก

"กลุ่มมหพันธ์"ต่อยอดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าของบริษัท เตรียมดัน"บ้านสำเร็จรูปน้ำหนักเบา"ออกสู่ตลาดจริงต้นปี 2550 หากผลทดสอบจริงๆสำเร็จ ขณะที่การเลือกใช้เทคโนโลยีของต่างประเทศใกล้ได้ข้อสรุป ทุ่ม1,200 ล้านบาทขยายกำลังการผลิต หลังปีที่ผ่านมาดีมานด์แซงหน้ากำลังการผลิต ตั้งเป้ายอดขาย 4,800 ล้านบาท ส่ง3ผลิตภัณฑ์ใหม่หวังดันยอดขายเพิ่มส่วนแบ่งตลาด

นายองอาจ เตชะมหพันธ์ กรรมการบริหาร กลุ่มมหพันธ์ ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์ตราเฌอร่า และกระเบื้องหลังคาตราห้าห่วง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการผลิตบ้านโครงสร้างเบาสำเร็จรูปเพื่อขายว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยอยู่ระหว่างการตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีจาก 4 ประเทศเข้ามาใช้ใน การผลิตบ้านสำเร็จรูปดังกล่าว อาทิเช่น เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น , สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย และประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ทั้งนี้ การนำเทคโนโลยีจากประเทศเหล่านี้ จะต้องมีการผสมผสานให้เข้ากับประเทศไทย เนื่องจากความต่างของสภาพแวดล้อมของไทยจะไม่เหมือนกับประเทศเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่ม มหพันธ์จะมีการทดสอบบ้านตัวอย่างและให้คนอยู่อาศัยจริงใน 4 ภาคประมาณ 10-20 ยูนิตภายในปีนี้ เพื่อทดสอบความคงทนของตัวบ้าน เนื่องจากแต่ละภาคจะมีความแตกต่างในเรื่องของสภาวะแวดล้อม อาทิ บ้านอยู่ใกล้ทะเลจะรับกับการกัดกร่อนของทะเลได้แค่ไหน อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะผลิตออกสู่ตลาดในปี 2550 ในลักษณะบ้านเดี่ยวชั้นเดียวและ 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 60-100 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ 3-6 แสนบาทต่อหลังและสามารถต่อเติมได้ ซึ่งในแต่ละปี ตลาดจะมีการใช้สินค้าของกลุ่มมหพันธ์ประมาณ 1.5 แสนครอบครัว ทั้งที่เป็นบ้านหลังใหม่และบ้านที่ปรับปรุงใหม่

นอกจากนี้ บ้านสำเร็จรูปที่ทางกลุ่มจะผลักดันออกมา จะรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าตลาดระดับกลางและล่างในต่างจังหวัด เนื่องจากคนกลุ่มระดับนี้ ไม่นิยมซื้อบ้านในโครงการจัดสรร แต่จะเลือกสร้างบ้านหรือปลูกสร้างบ้านเองแทน นอกจากนี้ ทางกลุ่มมหพันธ์ก็จะมีแผนผลิตเพื่อส่งออกไปต่างประเทศทั้งในภูมิภาคเอเชีย ,เอเชียใต้ ,แอฟริกา ซึ่งในแต่ละประเทศความต้องการบ้านน้ำหนักเบายังมีช่องทางเข้าไปทำตลาดได้มาก และคาดว่าสินค้าดังกล่าวจะสามารถเป็นสินค้าหลักอีกตัวหนึ่งของบริษัทในอนาคต

"ปัจจุบันคนชอบอยู่โครงการจัดสรร แต่ในต่างจังหวัดไม่มีบ้านลักษณะนี้ เราจึงออกสินค้ามา ซึ่งเป็นโอกาสของเราในการเจาะตลาดใหม่ ๆ ขณะที่คู่แข่งยังไม่มี อีกทั้งของเราเป็นโครงสร้างสำเร็จสามารถนำมาประกอบและอยู่อาศัยได้เลย ซึ่งแตกต่างจากบ้านเอื้ออาทรค่อนข้างมาก เพราะต้องใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า เรารู้ดี เคยทำแบบบ้านเอื้ออาทรให้กับการเคหะแห่งชาติมาแล้ว และครั้งนั้นก็เป็นการทดสอบตลาดของบ้านสำเร็จรูปของกลุ่ม อย่างไรก็ตาม รูปแบบของบ้านจะเป็นตัวหลักในการกำหนดดีไซน์ของวัสดุหรือกระเบื้องที่จะใช้ในการประกอบ ซึ่งโดยรวมแล้วจะส่งผลดีให้ยอดขายของผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเติบโตจากการก่อสร้างบ้านสำเร็จรูปในระยะข้างหน้า "นายองอาจกล่าว

นายองอาจ กล่าวถึงภาพรวมของบริษัทในปี 2549 ว่า ได้ตั้งเป้ายอดขายสินค้าทั้งกลุ่มประมาณ 4,800 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่มียอดขายประมาณ 3,600 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30% เนื่องจากในปีนี้ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มกระเบื้องมุงหลังคา 3 ชนิด คือ กระเบื้องไตรลอน , กระเบื้องแกรนาด้า และกระเบื้องชิงเกิ้ล ซึ่งทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์มีจดขายสินค้าและสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป ครอบคลุมทุกรูปแบบความต้องการและการใช้งานของผู้บริโภคโดยกระเบื้องไตรลอน ได้เริ่มบุกเบิกตลาดมาแล้วปลายปี 2548 ราคาขายจะสูงกว่ากระเบื้องธรรมดาประมาณ 10-20% ขึ้นอยู่กับลักษณะของสีที่อยู่ในเนื้อกระเบื้อง เป็นต้น

สำหรับในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย จะจำหน่ายผ่านทางตัวแทน กว่า 700 ราย และตัวแทนรายย่อยอีกกว่า 2,300 รายทั่วประเทศ โดยล่าสุดทางบริษัทได้มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ในด้านการให้บริการแก่ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ได้สามารถสั่งซื้อสินค้าระบบออนไลน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ในด้านช่องทางการสื่อสาร ได้ทุ่มงบในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ใหม่วงเงิน 80 ล้านบาท ซึ่งคาดว่ากลยุทธ์ในการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ จะทำให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้ง 3ชนิด เติบโต 50% หรือประมาณ 200 ล้านบาท และภายใน 2-3 ปีข้างหน้าจะต้องขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10%

ส่วนมูลค่าตลาดรวมของกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์(กระเบื้องสี)ในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 5% จากมุลค่าตลาดรวม 8,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้ผู้บริโภคให้ความนิยมในกระเบื้องสีมากกว่ากระเบื้องขาวหรือกระเบื้องธรรมดา ส่งผลให้สัดส่วนกระเบื้องสีมีส่วนแบ่งตลาดในมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่า 60% และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันกระเบื้องห้าห่วงมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% และกระเบื้องคอนกรีต 20% ขณะที่ไม้ฝาเฌอร่ามีส่วนแบ่งตลาด 50%

นายองอาจกล่าวว่าในภาวะที่ราคาต้นทุนจากค่าขนส่งเพิ่มขึ้น ทำให้ทางกลุ่มจำเป็นต้องปรับราคาทางอ้อม โดยการดึงส่วนลดสินค้าที่จะให้กับตัวแทนจำหน่ายลง 5-10% อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมา ทางกลุ่มได้มีการลงทุนขยายกำลังการผลิตอีก 1,200 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณความต้องการมีสุงทำให้สินค้าของกลุ่มมีไม่เพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด โดยขยายกำลังการผลิตภัณฑ์ของสินค้าหลักๆ คือ หลังคาไฟเบอร์ซิเมนต์อีก 7 หมื่นตันต่อปี ไม้ฝาเฌอร่าอีก 7 หมื่นตันต่อปี สินค้าตกแต่งที่ใช้คู่กับไม้ฝาเฌอร่า 7 หมื่นตัน และขยายโรงงานผลิตกระเบื้องคอนกรีตที่ลพบุรีอีก 2 แสนตันต่อปี ทั้งนี้ในปีนี้คาดว่าตลาดรวมของผลิตภัณฑ์หลังคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 5%


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.