'ยนตรกิจ' เลิกขาย 'บีเอ็ม' ตัวแปรสำคัญคือโฟล์กกรุ๊ป


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

ความตกต่ำของตลาดรถยนต์เมืองไทยในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดรถยนต์นั่งระดับหรูหรานั้น ได้สร้างปัญหาให้กับผู้ค้าในตลาดนี้อย่างมากในทุกยี่ห้อ

และดูเหมือนว่า "ยนตรกิจ" กับความเหลวแหลกของบีเอ็มดับบลิวในไทย ได้กลายเป็นปัญหาที่ดูหนักหนาที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นความตกต่ำของภาพพจน์ ชื่อเสียง

ยอดจำหน่ายที่ถดถอยอย่างมาก

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจจะรอเวลาเพื่อการแก้ไข แต่การกำหนดทิศทางเพื่ออนาคตและการแก้เกมเฉพาะหน้า กลับยังไม่สามารถดำเนินการได้

ปัญหาใหญ่สุดของกิจการบีเอ็มดับบลิวในไทย ก็คือ ความไม่ลงตัวของโครงสร้างองค์กรใหม่ภายใต้การร่วมทุนครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างบีเอ็มดับบลิว เอจี แห่งเยอรมนีกับกลุ่มยนตรกิจ

ในขณะนี้ แผนงานในการทำตลาดบีเอ็มดับบลิวในไทยยังไม่รู้จะเอาอย่างไร ทุกอย่างเกือบจะกลายเป็นการขอไปทีแทบทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้นการเจรจาต่อรองในเรื่องอำนาจสิทธิ์ขาดในองค์กรที่ร่วมทุนครั้งใหม่นี้ยังคงยืดเยื้อต่อไป ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยที่จะส่งผลให้กิจการบีเอ็มดับบลิวในไทยต้องเสียโอกาสต่อไปอีก

"การเจรจาในรายละเอียดของการร่วมทุน จะสรุปผลเสร็จสิ้นในปีนี้แน่นอน" คาร์ล เอช. กาซกา ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาด และการขายจากบีเอ็มดับบลิว เอจี เยอรมนี กล่าวอย่างมั่นใจ ส่วนผู้บริหารของไทยยานยนตร์ ซึ่งยังคงรับหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับบลิวอยู่ในขณะนี้คาดว่า บทสรุปคงต้องเลื่อนไปเป็นต้นปี 2541 จากเดิมที่คิดว่าจะเสร็จสิ้นในปี 2540

"เราต้องการที่จะเข้ามาดูแลด้านการตลาดเพียงอย่างเดียว จุดประสงค์หลักในการเข้ามาของบีเอ็มดับบลิว เอจี คือต้องการเข้ามาดูแลในส่วนของการตลาดเท่านั้น เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเครือข่ายการจำหน่าย และการบริการหลังการขายในทุกๆ ด้านโดยเฉพาะการสร้างภาพลักษณ์ของบีเอ็มดับบลิว" กาซกากล่าวย้ำถึงวัตถุประสงค์ในการเข้ามาร่วมทุนของบีเอ็มดับบลิว เอจี

โครงสร้างการบริหารภายหลังการร่วมทุนนั้นทางบีเอ็มดับบลิว เอจี ต้องการที่จะแบ่งภาระหน้าที่ออกอย่างชัดเจน ระหว่างบีเอ็มดับบลิว เอจี กับกลุ่มยนตรกิจ

กล่าวคือ ฝ่ายการผลิตจะยังคงมอบหมายให้บริษัท วาย เอ็ม ซี เอสเซมบลี จำกัด โรงงานประกอบรถยนต์ของกลุ่มยนตรกิจทำหน้าที่ต่อไป ซึ่งในส่วนของภาคการผลิตนี้ บีเอ็มดับบลิว เอจี จะเข้าไปเป็นเพียงที่ปรึกษาด้วยการส่งผู้ชำนาญเข้ามาให้มากขึ้น เพื่อพัฒนาการผลิตร่วมกับกลุ่มยนตรกิจ

"คงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในส่วนของโรงงานประกอบเพราะกลุ่มยนตรกิจทำได้ดีอยู่แล้ว มีพัฒนาการที่ดี ซึ่งชัดเจนมากในการประกอบบีเอ็มดับบลิว 523 ตัวใหม่นี้" กาซกา กล่าวยอมรับถึงคุณภาพของโรงงานประกอบของกลุ่มยนตรกิจ

สำหรับการตลาดนั้น บีเอ็มดับบลิว เอจี ต้องการให้บริษัท บีเอ็มดับบลิว (ประเทศไทย) บริษัทร่วมทุนที่ตั้งขึ้นใหม่นี้เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ทั้งก่อนและหลังการขาย

โดยช่องทางจำหน่ายจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนของดีลเลอร์อิสระทั่วๆ ไป ทั้งที่มีอยู่เดิม และที่บีเอ็มดับบลิว (ประเทศไทย) จะแต่งตั้งเพิ่มขึ้นใหม่

และส่วนของบริษัทไทยยานยนตร์ ซึ่งจะกลายเป็นดีลเลอร์รายหนึ่ง เพียงแต่ว่าสาขาของไทยยานยนตร์ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันก็จะยังอยู่ต่อไป สำหรับสาขาที่จะแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ในอนาคตคงต้องผ่านความเห็นชอบของบริษัทร่วมทุนใหม่นี้ด้วย

ที่สำคัญช่องทางการตลาดทั้ง 2 ส่วนนั้นจะต้องขึ้นตรงต่อ บีเอ็มดับบลิว (ประเทศไทย)

กาซกา มองว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาหลังจากประเทศไทยเปิดเสรีด้านรถยนต์แล้ว ภาพพจน์ในส่วนของงานการตลาดงานบริการและด้านช่องทางจำหน่ายของบีเอ็มดับบลิวนั้นถดถอยลงไป ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของลูกค้า และเรื่องต่างๆ เหล่านี้ถ้าปล่อยให้เนิ่นนานออกไปอาจกลายเป็นเรื่องภาพพจน์ ซึ่งถ้าเสียหายแล้วก็ยากที่จะแก้ไขให้กลับคืนมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว

"ภาพพจน์การบริการหลังการขายจะต้องปรับปรุงการวางเครือข่ายดีลเลอร์จะพัฒนาให้ดีกว่านี้ ซึ่งมีรายละเอียดอีกมากที่จะต้องเร่งทำ" กาซกา กล่าว

การลดบทบาทในด้านการตลาดเป็นหัวข้อสำคัญที่ทำให้การเจรจาระหว่างบีเอ็มดับบลิว เอจี กับกลุ่มยนตรกิจต้องยืดเยื้อ แต่กาซกาก็มั่นใจว่าแผนงานในการเข้ามาพัฒนาตลาดบีเอ็มดับบลิวในไทยเพื่อการขยายตลาดในอนาคตนั้น ไม่ได้ทำให้กลุ่มยนตรกิจสูญเสียประโยชน์ที่เคยได้รับในอดีต

"การปรับปรุงเครือข่ายดีลเลอร์จะทำให้บีเอ็มดับบลิวขยายตัวโตขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ยนตรกิจไม่ได้เล็กลงในเรื่องขนาดของธุรกิจตามที่เข้าใจ"

กระนั้นก็ตาม โครงสร้างการถือหุ้นในบริษัท บีเอ็มดับบลิว (ประเทศไทย) ที่บีเอ็มดับบลิว เอจี ต้องการถือหุ้นข้างมากพร้อมกับอำนาจการบริหารงานสูงสุด และตำแหน่งประธาน ต้องเป็นชาวเยอรมันเท่านั้น เหล่านี้นับเป็นเรื่องที่รับยากเหมือนกันสำหรับคนในตระกูลลีนุตพงษ์

วิทิต ลีนุตพงษ์ กรรมการบริหารกลุ่มยนตรกิจ ทายาทคนสำคัญของตระกูลลีนุตพงษ์ เคยประกาศว่าต้องการที่จะรักษาประเพณีการบริหารของกลุ่มยนตรกิจ ที่คนไทยต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ เป็นเหตุที่ทำให้กลุ่มยนตรกิจต้องแตกหักกับฟอร์ด และเลิกทำธุรกิจร่วมกับฟอร์ด

ครั้งนั้นยนตรกิจไม่อาจยอมรับการลดฐานะจากที่เคยเป็นผู้แทนนำเข้า และจำหน่ายมาเป็นเพียงดีลเลอร์รายหนึ่งจากฟอร์ดจัดตั้งบริษัทฟอร์ด เซลส์ (ประเทศไทย) ขึ้นมาดูแลธุรกิจในไทยเอง ซึ่งการเคลื่อนไหวของบีเอ็มดับบลิว เอจี ในครั้งนี้ก็ใกล้เคียงกับเมื่อคราวของฟอร์ดเสียเหลือเกิน สำหรับสถานการณ์ล่าสุดของตลาดบีเอ็มดับบลิวในไทยนั้นถือว่าย่ำแย่เอามากๆ ผ่าน 7 เดือนแรก ยอดจำหน่ายมีแค่ 1,714 คัน และด้านการประกอบก็ต้องลดจำนวนเหลือเพียง 200 คันต่อเดือน จากที่เคยผลิต 400 คันต่อเดือน

"ตอนนี้รถที่เราประกอบมีเพียง 2 รุ่น คือ 523 i และ 318 i ถึงวันนี้เรายังมีการประกอบรถตามปกติ เพียงแต่ปรับลดกำลังการผลิตต้องลดลงมาเรื่อยๆ" ผู้บริหารของไทยยานยนต์ กล่าว

บีเอ็มดับบลิวเป็นรถยนต์ในกลุ่มหรูหรา ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2539 โดยตลาดรถยนต์หรูหราโดยรวมตกลงจากปี 2538 ถึง 30% ขณะที่ในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าตลาดจะตกต่ำลงจากปี 2539 อีกและในอัตราที่มีความรุนแรงมากขึ้นด้วย

สำหรับบีเอ็มดับบลิว แม้จะดิ้นรนทั้งเรื่องแคมเปญ และทำการแก้ไขสถานการณ์ทางด้านยอดจำหน่ายในหลายด้านโดยเฉพาะปัญหาไฟแนนซ์ โดยการใช้เงินทุนของบริษัทเองในการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าผ่านทั้งสาขาและดีลเลอร์แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถกระตุ้นยอดการจำหน่ายขึ้นมาได้มากนัก

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นเสมือนภาพสะท้อนให้ทางบีเอ็มดับบลิว เอจี ต้องตัดสินใจที่จะเร่งเข้ามาโดยเร็วและในทางกลับกัน ในเมื่อตลาดบีเอ็มดับบลิวเล็กลงเรื่อยๆ ขณะที่รถยนต์ตัวใหม่อย่างกลุ่มโฟล์ก ซึ่งยนตรกิจกำลังปั้นได้อย่างเพลิดเพลิน สวยงามและดีวันดีคืนนั้น จึงทำให้เกิดกระแสข่าวที่ว่า ยนตรกิจอาจถึงขั้นตัดสินใจทิ้งบีเอ็มดับบลิว

ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการรถยนต์เมืองไทยเคยวิเคราะห์ว่า องค์กรอย่างยนตรกิจนั้นในอนาคต จะไม่สามารถต้านกระแสการหลั่งไหลเข้ามาของบริษัทรถยนต์ต้นสังกัดได้ และเมื่อถึงเวลานั้น ยนตรกิจจะต้องตัดสินใจเลือกว่าจะถือรถยนต์ยี่ห้อใดไว้ในมือ ซึ่งเชื่อมั่นได้ว่า ยนตรกิจจะถือไว้ได้ไม่มากเช่นปัจจุบัน และที่สุดแล้วจะต้องเลือกระหว่างกลุ่มโฟล์กกับบีเอ็มดับบลิว

แหล่งข่าวจากกลุ่มยนตรกิจกล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทำให้กลุ่มยนตรกิจต้องกลับมาทบทวนความสำคัญ ในการทำตลาดระหว่างบีเอ็มดับบลิวกับกลุ่มโฟล์ก โดยเฉพาะออดี้ซึ่งนับได้ว่าเป็นคู่แข่งสำคัญ และโดยตรงกับบีเอ็มดับบลิว

ที่สำคัญ กว่าหนึ่งปีมาแล้วที่ โฟล์ก กรุ๊ป แห่งเยอรมนี ได้พยายามทั้งกดดันและเชิญชวนให้กลุ่มยนตรกิจดำเนินกิจการของรถยนต์ในกลุ่มโฟล์กในลักษณะเชิงรุกให้มากขึ้น ด้วยเห็นว่าตลาดของกลุ่มโฟล์กในไทยสามารถไปได้ พร้อมด้วยแผนการประกอบในประเทศที่กลุ่มโฟล์กกำลังนำขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่

ในขณะนี้ความเคลื่อนไหวในส่วนงานของรถยนต์กลุ่มโฟล์กหรือกลุ่มทีเอที่ยนตรกิจถือครองอยู่นั้น ดูคึกคักมากในเรื่องของแผนงานการแยกโชว์รูมและศูนย์บัญชาการซึ่งกลุ่มโฟล์กต้องการให้เป็นอย่างนั้น

เมื่อสำนักงานของออดี้ ที่พระราม 9 เสร็จ สำนักงานใหญ่ของที้ง 3 ยี่ห้อในกลุ่มโฟล์กจะแยกกันชัดเจน ซึ่งเป็นวิถีใหม่ของเครือยนตรกิจในเรื่องของการแยกยี่ห้อตามที่กลุ่มโฟล์กต้องการ และยนตรกิจยุคใหม่ก็เห็นดีด้วย กล่าวคือ ออดี้จะอยู่พระราม 9, เซียท จะอยู่ที่ทองหล่อ และโฟล์กจะอยู่ที่สำนักงานวิภาวดี-รังสิต ที่เดิม

การโอนอ่อนตามคำเรียกร้องของกลุ่มโฟล์ก ดูจะง่ายดายยิ่งนัก และยิ่งไปกว่านั้นในระยะหลังจะได้เห็นวิทิตเข้ามามีบทบาทในส่วนงานของกลุ่มโฟล์กมากขึ้นอย่างผิดสังเกต ทั้งที่ก่อนหน้านั้นจะมุ่งไปที่บีเอ็มดับบลิวเป็นหลัก

ความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มยนตรกิจในส่วนงานบีเอ็มดับบลิวจะออกมาในรูปใด รุนแรงแค่ไหน คงต้องใช้เวลา

แต่คงอีกไม่นานเกินรอ

และการร่วมทุนระหว่างยนตรกิจกับบีเอ็มดับบลิว จะเสร็จสิ้นลุล่วงหรือไม่คงต้องรอหลังจากที่วิทิตเดินทางกลับมาแล้ว

แต่ครั้งนี้ วิทิตไม่ได้กลับมาจากการเจรจากับบีเอ็มดับบลิว

การเจรจาของวิทิตครั้งล่าสุดกลับเป็นการเจรจากับกลุ่มโฟล์ก

ภาพเลยยิ่งชัดเจนเข้าไปอีก



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.